กกร.ปรับประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจปีนี้ดีขึ้นเป็น 0 -1% เผยผลกระทบจากน้ำท่วม 1.5 หมื่นล้านบาท และกำลังรวบรวมประเด็นข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับมาตรการการเงิน การคลัง และภาษี และส่งหนังสือเพื่อขอเข้าพบนายกรัฐมนตรีภายในสัปดาห์นี้ พร้อมเตรียมทำทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี รมว.กระทรวงการต่างประเทศ และ รมว.กระทรวงพาณิชย์ ขอให้รัฐบาลเร่งเข้าร่วมการเจรจา CPTPP มิฉะนั้น จะต้องเจรจากับอีก 3 ประเทศจากเดิม 11 ประเทศ
ผลจากการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนตุลาคม 2564 ซึ่งมีผู้ร่วมประชุม คือ คุณผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย, คุณสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าฯ และคุณสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ชี้ถึงปัจจัยบวกที่ทำให้ กกร.ปรับประมาณการเศรษฐกิจในปีนี้จากเดิมที่อยู่ในแดนลบ -0.55% ถึง -1% มาอยู่ในแดนบวกเป็น 0 - 1% ซึ่งประกอบด้วย
โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อในปัจจุบันทรงตัวถึงลดลง อีกทั้งภาครัฐมีแผนการจัดหา/จัดสรรวัคซีนที่ชัดเจน มีการกระจายวัคซีนไปต่างจังหวัดมากขึ้น
ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถเปิดดำเนินการได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ทั้งนี้ ต้องจับตามองมาตรการผ่อนคลายที่จะออกมากลางตุลาคม - ต้นพฤศจิายนต่อไป
เช่น โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 ที่จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 ที่ขยายสิทธิเพิ่มอีก 2 ล้านสิทธิจะเป็นแรงเสริมภาคการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่น และน่าจะเป็นแรงเสริมให้ภาพรวมเศรษฐกิจปลายปีดีขึ้น อีกทั้งอยากเสนอให้รัฐบาลมีมาตรการเสริมทั้ง 'ช้อปดีมีคืน' และเติมเงินให้ 'คนละครึ่ง' เพิ่มเติมอีก เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น
แม้ว่าจะมีเวลาเพียงสองเดือนนับจากนี้ และจำนวนนักท่องเที่ยวอาจจะมีไม่มากในปีนี้ ทว่า แผนการเปิดประเทศที่รัฐบาลประกาศไว้ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว และนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีและสร้างความเชื่อมั่นในระยะต่อไป ซึ่ง กกร. กำลังรวบรวมประเด็นข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับมาตรการการเงิน การคลัง และภาษี และส่งหนังสือเพื่อขอเข้าพบนายกรัฐมนตรีภายในสัปดาห์นี้
แม้ว่าหลายพื้นที่จะเริ่มมีระดับน้ำลดลงบ้าง แต่ยังคงมีพื้นที่เฝ้าระวังหลายแห่ง ซึ่งสร้างความเสียหายต่อภาคการเกษตร โดยเฉพาะพื้นที่ภาคอีสานและภาคกลาง โดยเบื้องต้นประเมินว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะส่งผลกระทบกับภาพรวมเศรษฐกิจประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท หรือราว 0.1% ของจีดีพี และคาดว่าจะส่งผลกระทบกับภาคการเกษตรประมาณ 8,000 ล้านบาท โดยจะส่งผลกระทบกับพืชผลทางการเกษตร อาทิ ข้าว ยาง ปศุสัตว์ ฯลฯ และต้นทุนของการดำเนินธุรกิจการเกษตรแปรรูป ที่สูงขึ้นจากสินค้าเกษตรที่ราคาแพงเนื่องจากผลผลิตเสียหาย และราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
ปีนี้ถือเป็นปีที่ท้าทาย เนื่องจากราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการผลิต การขนส่ง การเดินทางของภาคธุรกิจ ตลอดจนประชาชนในวงกว้าง ประกอบกับเงินบาทอ่อนค่าลง ทำให้ต้นทุนนำเข้าพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซพุ่งขึ้นในอัตราเร่ง ทั้งนี้ เงินบาทอ่อนค้าจะส่งผลดีต่อธุรกิจส่งออก
แต่ธุรกิจและอุตสาหกรรมหลายสาขาได้รับผลกระทบตามมา แม้ว่า คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) จะมีมติลดเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนน้ำมันดีเซล เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาท/ลิตร แต่ก็เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และคาดว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังอยู่ในขาขึ้น ซึ่งรัฐต้องวางแผนบริหารจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้เป็นซ้ำเติมเศรษฐกิจ อีกทั้งส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ในตลาดโลกที่เร่งตัวขึ้นอย่างมาก อันเนื่องจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง, อุปทานตึงตัว และการลดกำลังการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่นโยบายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์(Net Zero Emissions) ส่งผลทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้า/บริการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด รวมถึงทำให้อัตราเงินเฟ้อผู้บริโภค (CPI) ทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวทั่วโลกปรับตัวขึ้นตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจตัดสินใจลดการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเร็วกว่าที่ประเมินไว้ส่งผลให้ตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงค่าเงินบาทมีแนวโน้มผันผวนไปในทิศทางอ่อนค่าได้ในระยะต่อไป
ทั้งนี้ แม้ที่ประชุม กกร. จะปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 ดีขึ้นมาอยู่ในกรอบ 0.0 % ถึง 1.0% แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์น้ำท่วมและตัวเลขการติดเชื้อหลังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ไปอีกระยะ ส่วนการส่งออก กกร. คาดว่าจะขยายตัว 12 - 14.0% จากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดี ภายใต้เงื่อนไขค่าระวางเรือที่ไม่สูงจนเกินไป สามารถควบคุมการระบาดในกลุ่มแรงงานภาคอุตสาหกรรมได้ และการฉีดวัคซีนให้แรงงานได้ทั่วถึง ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 1- 1.2%
ทั้งนี้ กกร. ได้มีประเด็นข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ดังนี้