กลายเป็น ‘ม้ามืด’ ที่ใครๆ ต่างคิดไม่ถึงจริงๆ สำหรับ United Overseas Bank หรือ UOB หนึ่งในธนาคารยักษ์ใหญ่จากสิงค์โปร ที่ได้เข้าเส้นชัยสำหรับการเข้าซื้อกิจการของ ‘Citibank’ ในไทย

ใครๆ ก็อยากได้

ย้อนกลับไปนับตั้งแต่ Citigroup ได้ออกประกาศถอนตัว  ‘ธุรกิจลูกค้ารายย่อย’ หรือ Retail Banking จาก 13 ตลาดที่ครอบคลุมเอเชีย, ยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา ก็เป็นที่จับตาว่า ใครจะได้ธุรกิจไป

ข่าวลือและบทวิเคราะห์ทยอยออกมาอย่างไม่ขาดขาย เพราะการขายดังกล่าวเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อได้ขยายธุรกิจบัตรเครดิตและความมั่งคั่งระดับไฮเอนด์ ซึ่งได้ดึงดูดธนาคารส่วนใหญ่ ด้วยรายได้จากค่าธรรมเนียมที่สูงมากกว่ารายได้ดอกเบี้ย

โดยบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ที่ออกมาระบุว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB จะเป็นธนาคารที่มีโอกาสมากที่สุด เพราะมีเงินสดอยู่ในมือจากการขาย SCBLife และได้เงินกว่า ‘แสนล้าน’ มาอยู่ในมือ

นอกจากนี้ยังมี ธนาคารกสิกรไทยที่มีโอกาสในการเข้าซื้อ ซึ่งเรื่องนี้ Bloomberg รายงานโดยอ้างอิงคำสัมภาษณ์ของ ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ว่า สนใจธุรกิจของ Citibank เช่นกันเพราะมีฐานลูกค้าที่ดีและกว้างมาก

ขณะเดียวกัน Bloomberg ได้รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวว่า ธนาคารกรุงเทพ วางแผนที่จะยื่นข้อเสนอสำหรับธุรกิจในไทย ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ราว 2 พันล้านดอลลาร์ เช่นเดียวกับธนาคารกรุงศรีอยุธยาที่สนใจเช่นกัน

ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ไป?

ข่าวคราวเงียบหายไปพักใหญ่ก่อนในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2021 Bloomberg ก็ได้ออกมารายงานว่า ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นเจ้าของโดย Mitsubishi UFJ Financial Group Inc. ของญี่ปุ่น เป็นผู้ที่ชนะการประมูล ได้ธุรกิจในประเทศไทยของ Citibank ไป

Bloomberg ยังรายงานด้วยว่า ในอินโดนีเซีย UOB เป็นผู้ได้ไป ซึ่งคาดว่าการขายจะมีตัวเลขหลายร้อยล้านดอลลาร์ ส่วนในมาเลเซีย Standard Chartered ได้กลายเป็นผู้ซื้อด้วยข้อตกลงที่อาจมีมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์เช่นกัน

ในรายงานดังกล่าว Bloomberg ระบุว่า ยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย การพิจารณายังดำเนินอยู่ และผู้ประมูลรายอื่นๆ ยังคงให้ความสนใจในตลาดเอเชียต่างๆ

‘UOB’ คือผู้เข้าเส้นชัย

แต่ที่สุดแล้วธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับสามของสิงคโปร์อย่าง UOB ก็เป็นผู้เข้าเส้นชัยในที่สุด ซึ่งไม่แค่ประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเข้าซื้อธุรกิจในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม อีกด้วย

การเข้าซื้อดังกล่าว “จะทำให้ UOB สามารถขยายธุรกิจใน 4 ประเทศในครั้งเดียว และเร่งเป้าหมายการเติบโตอีก 5 ปี” วี อี เชียง รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ UOB กล่าว โดยนี่ถือเป็นการเข้าซื้อครั้งใหญ่ที่สุดในรอบสองทศวรรษ

มูลค่าของการเข้าซื้ออยู่ที่ตัวเลขทั้งหมด 5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราว 1.2 แสนล้านบาท อันประกอบไปด้วยพอร์ตสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันและมีหลักประกัน การบริหารความมั่งคั่งและธุรกิจเงินฝากรายย่อย

Citibank มีลูกค้ารายย่อย 2.4 ล้านรายใน 4 ณ เดือนมิถุนายนปี 2021 โดยธุรกิจผู้บริโภคสร้างรายได้ประมาณ 500 ล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2021 ซึ่งการเข้าซื้อกิจการจะเพิ่มลูกค้ารายย่อยเพิ่มเป็น 5.3 ล้านคนในทันที

ที่สำคัญยังจะทำให้ UOB ให้ติดอันดับท็อป 10 ของธนาคารเพื่อรายย่อยในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และติดอันดับ 1 ใน 3 ของธนาคารเพื่อค้ารายรายย่อยในมาเลเซียและไทย

 “นับเป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่มาถึงในเวลาที่เหมาะสม UOB เชื่อในศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเรามีวินัยและอดทนรอในการเสาะหาโอกาสที่ใช่เพื่อการเติบโตทางธุรกิจ” รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ UOB กล่าว พร้อมเสริมว่า “เราตัดสินใจเข้าซื้อเพราะตลาดในในประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพที่สุดในทั้ง 4 ประเทศ”

หากไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกรรมนี้ในครั้งเดียว การเสนอซื้อกิจการนี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) และผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ขอ UOB ได้ทันที แถมยังมีรายได้เพิ่มอีก 1 พันล้านดอลลาร์

โดย UOB คาดว่าจะการเข้าซื้อกิจการจะแล้วเสร็จระหว่างกลางปี 2022 ถึงต้นปี 2024 ขณะเดียวกัน UOB ย้ำว่าจะไม่มีการปลดพนักงานเดิมออก ซึ่งพนักงานประมาณ 5,000 คน ที่รวมถึงผู้บริหารระดับสูงและทีมงานมากประสบการณ์จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ UOB

บทความจาก MarketPlus Magazine Issue 143