กลุ่มบริษัทเอจีซี (AGC GROUP) ประกาศความสำเร็จดีลควบรวมกิจการครั้งประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งของอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ ระหว่าง ‘ไทยอาซาฮีเคมีภัณฑ์’ (ACTH) ผู้นำธุรกิจคลอร์-อัลคาไลในประเทศไทยที่มีประสบการณ์และดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 56 ปี และ ‘วีนิไทย’ (VINYTHAI) ผู้นำการผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์โซดาไฟ พีวีซี และอีพิคลอโรไฮดรินมากว่า 30 ปี และ จัดตั้งบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ บมจ. เอจีซี วีนิไทย (AGC VINYTHAI PLC.)
โดยก่อตั้งเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 มีที่ตั้งสำนักงานใหญ่ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ด้วยงบลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดของกลุ่มบริษัทเอจีซีกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายกำลังผลิตรับดีมานด์โซดาไฟ และพีวีซีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เอเชียอาคเนย์) ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องกว่าปีละ 4% ตั้งเป้ารักษาแชมป์ พร้อมผลักดันสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจคลอร์-อัลคาไลในระดับภูมิภาค
คาซูอะกิ โคกะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เอจีซี วีนิไทย กล่าวถึงการก่อตั้งบริษัทใหม่ หลังการควบรวมกิจการครั้งนี้ว่า “ด้วยความเชี่ยวชาญและการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมระหว่าง ‘ไทยอาซาฮีเคมีภัณฑ์’ และ ‘วีนิไทย’ ของการควบรวมธุรกิจในครั้งนี้จะเอื้อให้ ‘เอจีซี วีนิไทย’ เป็นบริษัทที่เติบโตขึ้นพร้อมประสิทธิภาพในการรุกตลาดเอเชียอาคเนย์ที่กำลังขยายตัวกว่าปีละ 4% ทั้งตลาดผลิตภัณฑ์โซดาไฟและพีวีซี อีกทั้งยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งในด้านการแข่งขันและสถานะการเป็นผู้นำในธุรกิจคลอร์-อัลคาไลในภูมิภาคดังกล่าวด้วย โดยเฉพาะในตลาด CLMV”
กลุ่มบริษัทเอจีซี วางแผนเพิ่มกำลังผลิตที่มีอยู่ในประเทศไทย เพื่อรองรับดีมานด์ของตลาดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ที่เพิ่มสูงขึ้น พร้อมขยายการลงทุนมูลค่าสูงกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดตลอดการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทเอจีซี ที่ผ่านมา ด้วยการนำเทคโนโลยีอันทันสมัยมาปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต และตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตในไตรมาส 1/2568 ที่โรงงานของ เอจีซี วีนิไทย ทั้งสองแห่งในจ.ระยอง ดังนี้
ทั้งนี้ ในส่วนของการจัดหาวัตถุดิบซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการผลิตและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจ บริษัทฯ จึงได้ร่วมมือกับบริษัทพันธมิตรได้แก่ บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล (GC) ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นครบวงจรขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นบริษัทชั้นนำในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดย GC ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทใหม่นี้ด้วยสัดส่วน 27.32% ขณะที่ เอจีซี ถือหุ้นสัดส่วน 70.22% อย่างไรก็ตาม ภายในสิ้นปีนี้สัดส่วนของการถือครองหุ้น‘เอจีซี วีนิไทย จะเป็น AGC 65% และ GC 32%
คาซูอะกิ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ มีผลการดำเนินงาน (ก่อนการควบรวมกิจการ) ในส่วนของรายได้จากการขายทั้งหมดในปี 2564 ประมาณ 33,063 ล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงานทั้งหมดในปี 2564 ประมาณ 9,173 ล้านบาท
“หลังการควบรวมกิจการบริษัทฯ มีแผนที่จะใช้พลังงานประหยัด และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในส่วนงานปฏิบัติทั้งที่ระยองและสมุทรปราการ พร้อมกันนี้ บริษัทได้วางยุทธศาสตร์ในเบื้องต้นด้วยความมุ่งมั่นที่จะรักษาส่วนแบ่งตลาด และตำแหน่งของผู้นำ ตลอดจนการตอบสนองอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในเอเชียอาคเนย์ โดยเฉพาะในตลาด CLMV อีกทั้งมุ่งมั่นที่จะเป็นซัพพลายเออร์ที่คู่ค้าไว้วางใจในเอเชียอาคเนย์” คาซูอะกิ กล่าว