นับเป็นเส้นทางที่ยาวไกลของ ‘เมนทาแกรม’ ที่ใช้เวลากว่า 10 ปีในการปลุกปั้นแบรนด์ ‘โกโปร’ (GoPro) ให้กลายเป็นที่รู้จักในเมืองไทย จนถึงวันนี้โกโปรได้ทะยานขึ้นสู่ผู้นำตลาดกล้อง Action Camera ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% จากตลาดรวมมูลค่า 2,000 ล้านบาท
ในต่างประเทศโกโปรถือเป็นแบรนด์ Action Camera ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มนักกีฬาเอ็กซ์ตรีม รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมแนวแอดเวนเจอร์ เนื่องจากมีขนาดที่เล็กกะทัดรัด สามารถใช้ยึดติดกับร่างกายเพื่อบันทึกวีดีโอในมุมมองที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร
แต่สำหรับในเมืองไทยต้องยอมรับว่ายังไม่มีกลุ่มคนเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมมากขนาดนั้น ทำให้เมนทาแกรมต้องหันไปหาผู้บริโภคกลุ่มไลฟ์สไตล์ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก พร้อมเน้นการทำตลาดที่สื่อสารว่าโกโปรไม่จำเป็นจะต้องใช้ตอนเล่นกีฬาเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปถ่ายวีดีโอในกิจกรรมอื่นๆ ได้เช่นกัน
ณัฐพล ปัทมพงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เมนทาแกรม จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายกล้องโกโปรรายเดียวในประเทศไทย กล่าวว่า “แม้จุดยืนของโกโปรคือกล้อง Action Camera ที่ทำมาเพื่อคนที่เล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีม แต่พอเราทำตลาดมาเรื่อยๆ ก็พบว่าคนเราก็ไม่ได้เล่นกีฬาอย่างเดียว แต่ยังมีไลฟ์สไตล์ในรูปแบบอื่นด้วย ซึ่งก็สามารถนำโกโปรไปใช้งานได้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราจึงเน้นการทำตลาดเพื่อสื่อสารว่าโกโปรเหมาะสำหรับทุกคน ไม่ใช่กล้องเฉพาะทาง โดยเฉพาะในตลาดท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์ ซึ่งทำให้คนรู้จักโกโปรมากขึ้น”
ขณะที่ในระดับโกบอลเองก็ได้มีการปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ไปในทิศทางเดียวกัน จากที่เคยใช้ Tagling ว่า GoPro Be a HERO ก็ลดเหลือเพียงคำว่า GoPro เพื่อสื่อว่าไม่จำเป็นต้องเป็นฮีโร่ก็ใช้โกโปรได้ พร้อมการสื่อสารที่เน้นไปในกลุ่มไลฟ์สไตล์มากขึ้น เช่น ท่องเที่ยว ดนตรี สัตว์เลี้ยง ครอบครัว
“แต่หลังจากที่เราทำตลาดไลฟ์สไตล์มานาน เราก็อยากจะกลับไปที่ตลาดเฉพาะทางมากขึ้น เพื่อให้ภาพลักษณ์ของโกโปรกลับมาเท่เหมือนเดิม เราไม่อยากให้คนมองว่าโกโปรเป็นกล้องที่หน่อมแน้มน่าเบื่อ เราอยากเป็นแบรนด์ที่ดูคูล ซึ่งหลังจากนี้เราก็มีแผนที่จะทำตลาดร่วมกับบีเอ็มดับเบิลยู, มินิคูเปอร์, ดูคาติ, ฮาร์เล่ย์ เดวิดสัน รวมถึงการเข้าไปสนับสนุนกีฬาจักรยานและการแข่งขัน Moto GP” ณัฐพลกล่าว
แม้ในตลาด Action Camera ระดับราคา 10,000 บาทขึ้นไปจะเป็นตลาดที่เล็กมากและมีคู่แค่เพียงไม่กี่ราย แต่ปัญหาใหญ่ของโกโปรคือการที่ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยซื้อไปแล้วใช้งานไม่เป็น
“ต้องยอมรับว่าโกโปรไม่ใช่กล้องที่ใช้ง่าย ถ่ายแล้วนำไฟล์ไปใช้ต่อยาก ต้องตัดต่อในคอมพิวเตอร์ เราจึงได้จับมือกับเจมาร์ทเพื่อเปิด Training Center สาขาแรกที่สยามพารากอน สำหรับแนะนำการใช้งานเบื้องต้น การนำไปตัดต่อ รวมถึงการใช้งานแอปพลิเคชัน ซึ่งในปีหน้าเราตั้งเป้าจะขยายเป็น 4 สาขา”
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากลยุทธ์การทำตลาดของโกโปรทั่วโลก คือการกำหนดราคาขายให้มี ‘ราคาเดียว’ เพื่อหลักเลี่ยงการแข่งขันในด้านราคา แต่อย่างไรก็ตามในเมืองไทยยังมีร้านค้าออนไลน์จำนวนหนึ่งใช้วิธีการตัดราคาสินค้าให้สามารถขายได้ราคาถูกขึ้น เพื่อสร้างยอดขาย ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่เมนทาแกรมต้องจัดการอย่างเร่งด่วน
"ก่อนนี้เราได้มีการควบคุมและล่อซื้ออย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว เพราะการตัดราคาแบบนี้ไม่ส่งผลดีกับใครเลย อีกทั้งยังเป็นการทำลายตลาด ทำลายคู่ค้าของเรา ซึ่งแนวทางแก้ไขของเราคือ หากตรวจพบก็จะตัดสิทธิ์การเป็นตัวแทนจำหน่ายไปเลย"
สำหรับในครึ่งปีหลัง เมนทาแกรมได้เปิดตัวกล้อง GoPro HERO6 Black เข้ามาเสริมทัพกล้อง 2 รุ่นหลักที่ทำตลาดในปัจจุบัน คือ GoPro HERO 5 และ GoPro HERO 5 Session โดยวางจำหน่ายในราคา 18,500 บาท เพื่อจับกลุ่มผู้ใช้ในระดับโปรเฟสชันนอล โดยมีคุณสมบัติที่ดีขึ้นกว่าเดิม อาทิ การถ่ายวีดีโอ 4k60 และ 1080p240, ระบบลดการสั่นไหว, ระบบซูมจากหน้าจอสัมผัส, ถ่ายได้ทั้งไฟล์ RAW และ HDR, ถ่ายได้คมชัดในที่แสงน้อย, ดึงข้อมูลได้เร็วขึ้น 3 เท่า รวมถึงการอัพโหลดไฟล์ไปยังระบบคลาวด์ GoPro Plus อัตโนมัติ
ทั้งนี้ ในปี 2559 โกโปรมียอดขายอยู่ที่ 650 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนยอดขายกว่า 80% ของรายได้บริษัท พร้อมตั้งเป้ายอดขายในปีนี้ไว้ที่ 800 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขาย GoPro HERO6 Black ในสิ้นปีนี้ไว้ที่ 10,000 เครื่อง