ส่อแววเดือดส่งท้ายปี สำหรับตลาดรองเท้าแตะที่กำลังจะมีผู้เล่นรายใหม่แต่หน้าเก่าอย่าง "ม้าดาว" เข้ามาบุกตลาดในเมืองไทยเพิ่มอีกราย หลังจากลุยสร้างแบรนด์ในประเทศเพื่อนบ้านมานานกว่า 30 ปี
การกลับเข้ามาทำตลาดในประเทศบ้านเกิดในครั้งนี้ นับเป็นการเริ่มเจเนอเรชั่นใหม่ของ "ม้าดาว" ภายใต้ทายาทรุ่นที่สาม "กมลชัย ตระการสืบกุล" หนุ่มน้อยวัย 23 ปี ที่กำลังจะเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ให้ชื่อ "ม้าดาว" กลายเป็นแบรนด์รองเท้าแตะอันดับต้นๆ ในใจคนไทย ซึ่งเขาได้ประกาศวิสัยทัศน์ว่าจะก้าวขึ้นสู่ Top 5 ของเมืองไทยให้ได้ภายใน 5 ปีต่อจากนี้
กมลชัย ตระการสืบกุล ผู้บริหารบริษัท ชัยบูลย์รัตน์ จำกัด และ บริษัท บูลย์ชัย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรองเท้าแตะฟองน้ำภายใต้แบรนด์ "ม้าดาว" (Horse Star) กล่าวว่า "ที่ผ่านมาเรานำแบรนด์ม้าดาวเข้าไปทำตลาดในประเทศเพื่อนบ้านมาโดยตลอด ซึ่งทำให้แบรนด์แข็งแกร่งอย่างมากในตลาดอาเซียน หากแต่ในประเทศไทยเองกลับยังไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนัก เราจึงอยากจะกลับมาทำตลาดทำให้คนไทยรู้ว่า "ม้าดาว" คือแบรนด์ของคนไทย 100% เป็นแบรนด์คุณภาพ ทนทาน แต่ราคาไม่แพง"
หากแต่การเข้ามาสู่ตลาดเมืองไทยของ "ม้าดาว" ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบมากนัก เพราะนอกจากจะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดของตลาดรองเท้าแตะแล้ว ยังต้องเร่งสร้างการรับรูแบรนด์อย่างหนัก เพราะชื่อแบรนด์มีความใกล้เคียงกับเจ้าตลาดพอสมควร
"สิ่งสำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนความคิดของผู้บริโภคให้ลองเปิดรับสิ่งใหม่ๆ เราไม่ต้องการแข่งกับใคร เรามีที่ของเรา ผมเชื่อว่าถ้าคนไทยได้ลองสัมผัส ได้ทดลองใช้ จะรู้ว่ารองเท้าแตะของเรามีคุณภาพในราคาแค่ 80 บาท สิ่งที่เราต้องทำคือสร้างการรับรู้ไปสู่ผู้บริโภค ทั้งในด้านออฟไลน์ ออนไลน์ และการโรดโชว์ในภาคอีสาน เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทดลองใส่ ซึ่งเราเชื่อว่าจะสามารถทำให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์ได้ในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน" กมลชัยอธิบายต่อไปว่า
"ม้าดาวจะปรับตัวเองให้ดูทันสมัยขึ้น ให้เป็นรองเท้าแตะที่ไม่หลุดเทรนด์ มีความเป็นคลาสสิค เรโทร เพื่อสื่อว่าคนทุกวัย ทุกอาชีพ ทุกไลฟ์สไตล์ก็ใส่ม้าดาวได้ ซึ่งในเบื้องต้นเราจะเน้นช่องทางจัดจำหน่ายผ่านออนไลน์ ก่อนจะขยายไปยังร้านขายของเท้าขนาดใหญ่ และห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ ซึ่งหากเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ เราเชื่อว่าม้าดาวจะสามารถติด 1 ใน 5 ของประเทศได้"
สำหรับเป้าหมายด้านยอดขายของแบรนด์ "ม้าดาว" ในปี 2560 คาดว่ายอดขายในต่างประเทศจะอยู่ที่ 75% และในประเทศ 25% และภายใน 3 ปี รายได้ในประเทศจะเติบโตกว่า 300%