2022 ปีแห่งวิกฤติของ ‘6 เจ้าพ่อเทคโนโลยี’ เมื่อ ‘ความร่ำรวย’ หายไปกว่า 14.7 ล้านล้านบาท
24 Jan 2023

ถ้าจะบอกว่า ปี 2022 เป็นปีแห่งวิกฤติของ ‘6 เจ้าพ่อเทคโนโลยี’ เพราะข้อมูลจาก Bloomberg Billionaires Index ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2022 พบว่า มหาเศรษฐีเหล่านี้มีความร่ำรวยที่ลดลงกว่า 433,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 14.7 ล้านล้านบาท เนื่องจากหุ้นร่วงลงและหลายบริษัทชะลอการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถึงความร่ำรวยจะหายไปมหาศาล แต่ทรัพย์สินที่อยู่ในมือพวกเขา ก็ยังมีเงินมากกว่าประเทศเล็กๆ หลายแห่งเสียอีก

 

สูญเสียกันถ้วนหน้า

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กผู้ก่อตั้ง Facebook ซึ่งครั้งหนึ่งเคยติดอันดับ 1 ใน 10 บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก สูญเสียทรัพย์สินสุทธิไปเกือบ 81,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้

แต่พวกมหาเศรษฐียังห่างไกลจากความสิ้นเนื้อประดาตัว ตัวอย่างเช่นซักเคอร์เบิร์กยังมีความมั่งคั่งเกือบ 45,000 ล้านดอลลาร์หรือมากกว่า GDP ของไอซ์แลนด์

ขณะที่มหาเศรษฐีหลายคนร่ำรวยกว่าปี 2019 ซึ่งเป็นปีก่อนที่จะเกิดวิกฤติโควิดเสียอีก เนื่องจากในช่วงการระบาดใหญ่หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีเติบโตอย่างก้าวกระโดดทำให้พอร์ตการลงทุนของพวกเขาแข็งแกร่งก่อนที่ความมั่งคั่งจะลดลงในปีนี้

หุ้นเทคโนโลยีร่วงลงอย่างมากในปี 2022 เนื่องจากรายได้ที่เคยพุ่งทะยานได้หยุดชะงักลง หลายบริษัทที่รับพนักงานจำนวนมากก็ได้ประเทศปลดพนักงานจำนวนมากเช่นเดียวกัน อาทิ Meta ที่ประกาศว่าได้เลิกจ้างพนักงานประมาณ 11,000 คน หรือ Amazon.com ที่ปลดพนักงานกว่า 18,000 คน

 

 

ไม่ใช่ทุกคนที่กระทบ

กระนั้นไม่ใช่ทุกคนที่รู้สึกว่าตัวเองจนลง (แม้ในความเป็นจริงจะไม่ได้ใกล้เคียงกับคำนี้ก็ตาม) จาง อีหมิง เจ้าพ่อเทคจากแดนมังกรผู้ก่อตั้ง ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok เห็นความร่ำรวยของตัวเองเพิ่มขึ้นมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ จนมีตัวเลขในมือเกือบ 55,000 ล้านดอลลาร์

ฟากเจ้าพ่อเทคโนโลยีสองสามรายในสหรัฐอเมริกาประสบความสูญเสียทางการเงินแต่ในระดับที่น้อยกว่า เช่น แลร์รี เอลลิสัน ผู้ร่วมก่อตั้ง Oracle มีรายได้ 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ แต่ยังคงเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 7 ของโลก

ไมเคิล เดลล์ ผู้ก่อตั้ง Dell Technologies เห็นความรวยของเขาลดลง ประมาณ 7,000 ล้านดอลลาร์ แต่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เขานำหน้าซักเคอร์เบิร์กในรายชื่อบุคคลที่ร่ำรวยที่สุด 25 อันดับแรก

 

ใครรวยลดลงเท่าไรกันบ้าง

ทีนี่มาดูกันบ้างว่า ความร่ำรวยของเจ้าพ่อเทคโนโลยีลดลงไปเท่าไรกันบ้าง บอกตรงๆ เห็นตัวเลขแล้วขนลุกไปเหมือนกัน แต่สำหรับเจ้าพ่อทั้งหลายเงินแค่นี้ (น่าจะ) ไม่สะเทือนขนหน้าแข้ง

 

 

อีลอน มัสก์

ผู้ที่ (เคย) รวยที่สุดในโลกอย่าง ‘อีลอน มัสก์’ สูญเสียความรวยไปกว่า 132,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งเป็นการสูญเสียที่เกินกว่าความมั่งคั่งของเศรษฐีคนอื่นๆ ในรายชื่อที่ได้รวบรวมมาตามรายงานของ The Washington Post

เดิมซีอีโอของ Tesla, SpaceX และ Twitter เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในปีนี้ แต่ต้องสูญเสียตำแหน่งดังกล่าวไป เนื่องจากหุ้น Tesla ที่เขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ร่วงลงเกือบ 70% ตลอดทั้งปี

หุ้นที่ร่วงลงเกิดจากกังวลว่าความต้องการรถยนต์ไฟฟ้ากำลังลดลงในจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัท Tesla ยังเผชิญกับความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของวัสดุในการผลิตรถยนต์ด้วย

นักลงทุนบางคนยังกังวลเกี่ยวกับการที่มัสก์ให้ความสำคัญกับ Twitter ถึงขนาดขายหุ้นของTesla เพื่อนำเงินจำนวน 44,000 ล้านดอลลาร์เข้าซื้อกิจการบริษัทสื่อสังคมออนไลน์

และการครองตำแหน่งแม่ทัพของ Twitter ในช่วงสั้นๆ ได้เกิดความวุ่นวายจนทำให้นักลงทุนของ Tesla ไม่สบายใจ และพวกเขาได้กระตุ้นให้มัสก์หันมาสนใจบริษัทรถยนต์ที่ตัวเขาเป็นผู้ก่อตั้งอีกครั้ง

 

 

เจฟฟ์ เบโซส

เจ้าพ่ออีคอมเมิร์ช ‘เจฟฟ์ เบโซส’ เห็นความมั่งคงลดลง 84,100 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ เนื่องจากหุ้นเทคโนโลยีร่วงลงและหุ้น Amazon ดิ่งลงเกือบ 50% นับเป็นหนึ่งในหุ้นที่ตัวเลขแย่มากตัวหนึ่งในตลาด ผู้ก่อตั้ง และประธานของ Amazon ก้าวลงจากตำแหน่งซีอีโอเมื่อปีที่แล้ว แต่เขายังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด

Amazon เผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงและการเติบโตที่ชะลอตัว เนื่องจากยอดขายที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาลในช่วงการระบาดใหญ่ลดลงในปีนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้บริษัทจำต้องลดพนักงานหลักหมื่นคนในคราวเดียวกัน

อย่างไรก็ตามเบโซส์ยังเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทท่องเที่ยวอวกาศ Blue Origin และเป็นเจ้าของ The Washington Post ซึ่งเขาซื้อด้วยเงิน 250 ล้านดอลลาร์ในปี 2013

 

 

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก

ความร่ำรวยของ ‘มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก’ ลดลงเกือบ 81,000 ล้านดอลลาร์ จนทำให้ผู้ก่อตั้ง Facebook ได้หลุดจากบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับที่ 6 เมื่อปลายปีที่แล้วมาอยู่ที่อันดับที่ 25 ตามรายงานของ Bloomberg Billionaires Index

ปี 2022 เป็นปีที่ยากลำบากสำหรับ Facebook ซึ่งประกาศว่าจะเปลี่ยนชื่อบริษัทแม่เป็น Meta เมื่อปีที่แล้ว หลังจาก ซักเคอร์เบิร์กซึ่งยังคงเป็นผู้นำบริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นเมื่อครั้งเป็นนักศึกษา ได้เตรียมการเปลี่ยนแปลงของบริษัทให้มุ่งเน้นไปที่ Metaverse มากขึ้น (แม้วันนี้จะเป็นภาพที่เจือจางก็ตาม)

Meta รายงานรายได้สองไตรมาสแรกลดลงในปีนี้ เนื่องจากบริษัทเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจาก TikTok และแอปโซเชียลมีเดียขนาดเล็กอื่นๆ และสภาพแวดล้อมการโฆษณาดิจิทัลที่รุนแรงขึ้น

สถานการณ์ที่เลวรายทำให้บริษัทเตือนว่ามีแผนจะขาดทุนมากขึ้นในปีหน้าเนื่องจากสร้าง Metaverse ยังต้องใช้เงินอีกจำนวนมาก จนเป็นที่มาของการปลดพนักงานนับหมื่นเพื่อลดค่าใช้จ่าย

 

 

แลร์รี เพจ และ เซอร์เกย์ บริน

‘แลร์รี เพจ’ และ ‘เซอร์เกย์ บริน’ สูญเสียเงินรวมกัน 88,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ ผู้ก่อตั้ง Google และสมาชิกคณะกรรมการปัจจุบันของบริษัทแม่ Alphabet ก้าวออกจากตำแหน่งผู้บริหารในปี 2019 แต่พวกเขายังคงมีอิทธิพลเหนือธุรกิจผ่านการลงคะแนนเสียงแบบพิเศษ

ปีนี้ถือเป็นปีที่เลวร้ายของอุตสาหกรรมการโฆษณาดิจิทัล จนแม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอย่าง Alphabet ก็ยังไม่รอด ต้องชะลอการจ้างงานและปิดบริการสตรีมบนคลาวด์สำหรับวิดีโอเกม Stadia

 

 

บิล เกตส์

มหาเศรษฐีผู้ใจบุญและผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft สูญเสียเงินเกือบอย่าง ‘บิล เกตส์’ สูญเสียเงินเกือบ 29,000 ล้านดอลลาร์ การลดลงประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของเขาเกือบเท่ากับการลดลงของ S&P 500 ในปีนี้

การลงทุนของเกตส์นั้นมีความหลากหลาย โดยมีการถือหุ้นขนาดใหญ่ในหลายบริษัท อสังหาริมทรัพย์ที่มั่งคั่ง และพื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่ แต่การถือครองเดี่ยวที่มีค่าที่สุดของเขายังคงเป็นหุ้นของ Microsoft ซึ่งลดลงเกือบ 30 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้

ในขณะที่รายได้สำหรับบริการคลาวด์ของ Microsoft เพิ่มขึ้น 24 เปอร์เซ็นต์ในช่วงไตรมาสล่าสุดของบริษัท ยอดขายสำหรับระบบปฏิบัติการ Windows ลดลง 15 เปอร์เซ็นต์ และ Microsoft กล่าวว่าคาดว่ารายได้จากคลาวด์จะเติบโตช้าลงในปีหน้า ทำให้หุ้นรวงลงอย่างฉุดไม่อยู่

 

 

สตีฟ บอลเมอร์

อดีตผู้บริหารระดับสูงของ Microsoft และเจ้าของ Los Angeles Clippers อย่าง 'สตีฟ บอลเมอร์’ สูญเสียเงินกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ เนื่องจากหุ้นเทคโนโลยีร่วงลงเป็นผักปลา

ความมั่งคั่งส่วนใหญ่ของบอลเมอร์นั้นผูกอยู่ในหุ้นของ Microsoft ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งซีอีโอตั้งแต่ปี 2000 ถึง 2014 แม้ว่าบริษัทจะมีสถานะที่ดีกว่ายักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายอื่นที่ต้องพึ่งพาการโฆษณาและการใช้จ่ายของผู้บริโภคมากกว่า แต่ผู้ผลิต Windows ก็เห็นมูลค่าหุ้นที่ลดลงไปมากกว่า 1 ใน 4

นอกเหนือจากการคาดการณ์การเติบโตของระบบคลาวด์ที่ช้าลงแล้ว Microsoft ได้เตือนนักลงทุนว่าคาดว่ายอดขายพีซีที่อ่อนแอจะขยายไปถึงปีหน้าอีกด้วย

 

อย่างไรก็ตามถึงปี 2022 จะเป็นปีที่เรียกว่าได้วิกฤติสำหรับบรรดาเจ้าพ่อเทคโนโลยี แต่คลื่นลมที่รุนแรงกว่ากำลังรอพวกเขาในปี 2023 ซึ่งคาดการณ์กันว่า มีโอกาสสูงมากที่โลกจะก้าวเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย

ดังนั้นจึงต้องจับตาดูว่า ขนหน้าแข้งที่ร่วงไปพอสมควรในปีที่ผ่านมา จะร่วงเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ในปีกระต่ายดุนี้!!

 


บทความจาก MarketPlus Magazine Issue 153 January 2023


 

[อ่าน 1,586]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
Sushiro 2050 ร้านซูชิสายพานแห่งอนาคต ”มากกว่าความอร่อย คือความยั่งยืน“
Meitu ทุบสถิติ! รายได้พุ่งทะลุฟ้า 17,100 ล้านบาท กำไรแรงจัด 59.2%
Forever 21 ล้มละลายอีกครั้งในรอบ 6 ปี ปิดตำนานฟาสต์แฟชั่น เตรียมปิดทุกสาขาในอเมริกา
ไหวไหม Renault จะคัมแบ็กตลาดรัสเซีย ต้องจ่าย 1,300 ล้านดอลลาร์ เพื่อแลกทรัพย์สินคืน
ไอซ์แลนด์สร้างฟาร์มพลังงานสะอาด หวังดันสาหร่ายเป็นอาหารแห่งอนาคต
House of Dancing Water เมื่อเทคโนโลยีผสานศิลปะ จนกลายเป็นงานโชว์สุดอลังของ “มาเก๊า”
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved