บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU แจ้งผลการดำเนินงานประจำปี 2565 ด้วยยอดขายทั่วโลกที่โดดเด่นจากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารทะเลบรรจุกระป๋องที่เติบโตอย่างต่อเนื่องเนื่องจากผู้บริโภคที่ยังให้ความไว้วางใจในไทยยูเนี่ยน และผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายที่ตอบโจทย์ความต้องการในเรื่องของสุขภาพ และโภชนาการ
ผลงานในไตรมาสสุดท้ายของปีมียอดขาย 39,613 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 2.9 เปอร์เซ็นต์และกำไรจากการดำเนินงาน 2,384 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 20.6 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ไทยยูเนี่ยนเผยยอดขายตลอดปี 2565 เพิ่มขึ้น 10.3 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 155,586 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 27,206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.8 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่กำไรสุทธิประจำปี 2565 อยู่ที่ระดับ 7,138 ล้านบาท ลดลง 10.9 เปอร์เซ็นต์ แต่บริษัทยังสามารถจ่ายปันผลครึ่งปีหลังอยู่ที่ 0.44 บาทต่อหุ้น ทำให้เงินปันผลตลอดปีอยู่ที่ 0.84 บาทต่อหุ้น และบริษัทยังคงจ่ายอัตราเงินปันผลตอบแทนในระดับดีต่อเนื่องอยู่ที่อัตรา 5.3 เปอร์เซ็นต์
ในปี 2565 ยอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องเพิ่มขึ้น 12.8 เปอร์เซ็นต์ จากราคาขายที่เพิ่มขึ้นและความต้องการสินค้าที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเอเชียและสหรัฐอเมริกาที่มีการปล่อยสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตรงใจผู้บริโภค สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงยังคงทำผลงานได้ดี ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้น 48.0 เปอร์เซ็นต์จากปี 2564 อยู่ที่ 21,693 ล้านบาท จากความต้องการอาหารสัตว์ที่พุ่งสูงและราคาขายที่เพิ่มขึ้น
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
“ในปีที่ผ่านมาไทยยูเนี่ยนมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งและยอดขายที่ทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าเราจะอยู่ท่ามกลางเศรษฐกิจทั่วโลกที่ต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่มีความผันผวน ธุรกิจหลักของเรายังคงเป็นหัวใจสำคัญ ในขณะเดียวกันเราก็ยังต่อยอดธุรกิจให้ผลิตภัณฑ์มีความหลากหลายเพื่อดึงดูดลูกค้าทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา เรายังคงพัฒนาธุรกิจเพิ่มมูลค่าอย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจส่วนประกอบอาหาร อาหารเสริม และโปรตีนทางเลือก ทำให้เราสามารถขยายธุรกิจไปยังผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เน้นนวัตกรรมและจะมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจในอนาคต”
ธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องมีบทบาทอย่างมากในยอดขายของบริษัทในปี 2565 โดยมีสัดส่วนถึง 43 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ตามมาด้วยธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นอยู่ที่ 36 เปอร์เซ็นต์ ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง 14 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 10 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2564 และธุรกิจเพิ่มมูลค่าและอื่นๆ อีก 7 เปอร์เซ็นต์ ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงมีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจของไทยยูเนี่ยนในปีที่ผ่านมา โดย บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยถือเป็นหุ้นไอพีโอที่มีมูลค่าการเสนอขายสูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย และยังเป็นปัจจัยสำคัญในการลดลงของอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนของไทยยูเนี่ยนให้อยู่ที่ระดับ 0.54 เท่า ณ สิ้นปี 2565 เปรียบเทียบกับปี 2564 ที่อยู่ในระดับ 0.99 เท่า
นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังมีธุรกิจกระจายตัวอยู่ทั่วโลก โดยสัดส่วนยอดขายตามภูมิภาคมีดังนี้ สหรัฐอเมริกาและแคนาดาอยู่ที่ 44 เปอร์เซ็นต์ ยุโรป 26 เปอร์เซ็นต์ ประเทศไทย 11 เปอร์เซ็นต์ และภูมิภาคอื่นๆ19 เปอร์เซ็นต์
ในปี 2565 ไทยยูเนี่ยนยังมีการขยายโอกาสทางธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงทุน 10 ล้านเหรียญแคนาดาในบริษัท มาร่า รีนิวเอเบิลส์ คอร์ปอเรชั่น หนึ่งในบริษัทผู้นำการผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพจากสาหร่ายที่มีการเพาะเลี้ยงขึ้นอย่างยั่งยืนของโลก
ไทยยูเนี่ยนติดอยู่ในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ เป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน และได้อันดับ 1 ในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร นับเป็นผลสืบเนื่องจากการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของบริษัทอย่างต่อเนื่องตามกลยุทธ์ความยั่งยืนหรือ SeaChange® และด้วยแนวทางของบริษัทในการดูแลความเป็นอยู่ของผู้คน ไปพร้อมกับการดูแลท้องทะเลให้อุดมสมบูรณ์ ไทยยูเนี่ยนยังได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับองค์กรการประมงเพื่อความยั่งยืน Sustainable Fisheries Partnership (SFP) เพื่อเดินหน้าพัฒนาความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทานของบริษัท
“ในปี 2566 แม้ว่าเราจะยังคงเห็นภาวะเงินเฟ้อในทุกภูมิภาคทั่วโลกที่ไทยยูเนี่ยนดำเนินธุรกิจอยู่ แต่ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า การที่ไทยยูเนี่ยนมุ่งมั่นและให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ทางธุรกิจในระยะยาว ตลอดจนวินัยทางการเงิน และการให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางธุรกิจ จะทำให้ธุรกิจของเราเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยไทยยูเนี่ยนตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายในปี 2566 อยู่ที่ระดับ 5-6 เปอร์เซ็นต์โดยประมาณ และเพิ่มงบลงทุนอยู่ที่ 6,000-6,500 ล้านบาท” นายธีรพงศ์กล่าวทิ้งท้าย