ยุโรปเป็นศูนย์กลางความเจริญทางศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาแห่งหนึ่งของโลกโดยหลายประเทศในภูมิภาคนี้ ทั้งฝรั่งเศส อิตาลี สหราชอาณาจักร เยอรมัน และออสเตรีย ล้วนมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ขับเคลื่อนแนวความคิดเกี่ยวกับศิลปะและแฟชั่นไปยังทั่วทุกมุมโลก สำหรับพฤติกรรมการสวมใส่เครื่องประดับนั้น จัดเป็นองค์ประกอบที่ช่วยสะท้อนตัวตนของชาวยุโรปออกมาได้อย่างชัดเจน แต่ถึงกระนั้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้เกิดปัญหาเศรษฐกิจในภูมิภาคชะลอตัว ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องนำเสนอสินค้าเครื่องประดับให้มีความน่าสนใจและตรงต่อความต้องการของชาวยุโรปในช่วงวิกฤติถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง ซึ่งเครื่องประดับแนว Bridge Jewellery น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการส่งออกเครื่องประดับไปยังตลาดยุโรป
Bridge Jewellery เป็นรูปแบบหนึ่งของเครื่องประดับที่ได้รับความนิยมในยุโรป โดยดึงเอาจุดเด่นด้านความมีมูลค่าในตัวเองของเครื่องประดับแท้ ผสมผสานกับการออกแบบที่อิงตามแฟชั่นและราคาที่ถูกลง เกิดเป็นเครื่องประดับแฟชั่นที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยส่วนมากแล้ว Bridge Jewellery มักนำวัสดุประเภทเงิน เงินชุบทอง โรเดียมทองโรสโกลด์ และโลหะเงินผสม (Alloys Silver) จำพวก Silvadium หรือ Argentium Silver มาทำเป็นตัวเรือนแล้วตกแต่งด้วยพลอยเนื้ออ่อน อาทิ แอเมทิสต์ ซิทริน โทแพซ การ์เนต โอปออะความารีน เทอร์คอยส์ รวมถึงอัญมณีประเภทหยก และมุกน้ำจืดด้วย
ปัจจุบันมีผู้ประกอบการหลายรายในยุโรปที่ประสบความสำเร็จจากการผลิตและจำหน่ายเครื่องประดับ แนว Bridge Jewellery โดยการนำเอาแรงบันดาลใจจากสิ่งต่างๆ รอบตัวทั้งด้านศิลปะ สถานที่ ตลอดจนความเชื่อในท้องถิ่นมาใช้สร้างสรรค์เป็นชิ้นงานออกวางจำหน่ายในหลายประเทศทั่วทั้งภูมิภาคยุโรป เกิดเป็นแบรนด์เครื่องประดับท้องถิ่น อาทิ Links of London, Carat London, Jette, Roberto Coin ฯลฯ นอกจากนี้ ด้วยความน่าสนใจของ Bridge Jewellery ที่มีโอกาสทำตลาดได้ในช่วงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจย่ำแย่ ทำให้แบรนด์เครื่องประดับระดับโลกบางรายหันมาผลิตสินค้าดังกล่าวออกวางจำหน่ายด้วย อาทิ Forevermark, Thomas Sabo, Swarovski และ DelfinaDelettrez by Fendi เป็นต้น
ในช่วงเศรษฐกิจยุโรปอยู่ในภาวะชะลอตัว Bridge Jewellery มีความได้เปรียบในการทำตลาดมากกว่าเครื่องประดับแท้ที่มีมูลค่าสูงโดยทั่วไป เนื่องจากสินค้านี้พยายามรักษาระดับราคาให้อยู่ในเกณฑ์ปานกลางประมาณ 100-400 ยูโร (หรือประมาณ 4,000-16,000 บาท) จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภคในตลาดยุโรป ประกอบกับเมื่อพิจารณาในแง่ทัศนคติของผู้บริโภค พบว่า Bridge Jewellery ได้รับการยอมรับในเชิงคุณค่ามากกว่าเครื่องประดับแฟชั่นเพราะนอกจากจะนำเสนอชิ้นงานด้วยดีไซน์ที่โดดเด่นแล้วการเลือกใช้วัสดุในการทำตัวเรือน และการนำเอาอัญมณีประเภทต่างๆ เข้ามาตกแต่งบนตัวเรือนก็ช่วยเพิ่มคุณค่าในตัวชิ้นงานได้มากขึ้น
สำหรับผู้ประกอบการไทยแล้ว ตลาดยุโรปถือเป็นตลาดเครื่องประดับขนาดใหญ่ที่เปิดกว้างให้ผู้ค้าชาวต่างชาติได้นำสินค้าเข้ามาจำหน่าย ซึ่งหากผู้ประกอบการไทยลองนำเอาแนวคิดของ Bridge Jewellery มาประยุกต์ใช้กับการผลิตเครื่องประดับ ควบคู่ไปกับการดึงเอาข้อได้เปรียบทางด้านคุณภาพของสินค้าและศักยภาพการออกแบบเครื่องประดับมาใช้ จึงน่าจะเป็นโอกาสอันดีที่จะสามารถสร้างมูลค่าการค้า และมีโอกาสเติบโตต่อไปได้ในตลาดยุโรป
การส่งออก Bridge Jewellery ไปยังตลาดยุโรป ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเข้าใจถึงสภาพตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน รวมถึงต้องปฏิบัติตามการควบคุมคุณภาพมาตรฐานของสินค้าดังนี้
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่จะผลิตและค้า Bridge Jewellery จะต้องให้ความสนใจตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุทำตัวเรือน ไปจนถึงการเลือกอัญมณีตกแต่งซึ่งต้องพยายามควบคุมต้นทุนเอาไว้ให้ดี เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าที่จะเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับต้องใส่ใจทางด้านการออกแบบให้มาก โดยพยายามใช้ความคิดสร้างสรรค์ถ่ายทอดลงบนชิ้นงาน เน้นการพัฒนารูปแบบเครื่องประดับให้ก้าวทันตามเทรนด์แฟชั่น แสวงหาโอกาสทางการค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ควบคู่ไปกับการควบคุมคุณภาพมาตรฐานของสินค้าอย่างเคร่งครัด ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถสร้างโอกาสทางการค้าเพิ่มขึ้นและประสบความสำเร็จได้ในตลาดยุโรป
ข้อมูลจาก : ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)