คนร่ำรวยใช้จ่ายเงินไปกับวันหยุดสุดฮาร์ดคอร์และออกจากคอมฟอร์ตโซนของตน เทรนด์การเดินทางแบบสุดโต่งของนักท่องเที่ยวผู้มั่งคั่งกำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่คือสองเทรนด์การท่องเที่ยวที่มีอยู่แต่ตั้งเดิมนั้นคือ Luxury และ Extreme มาหลอมรวมกันจนกลายเป็นเทรนด์ล่ามาแรง
ล่าสุดความต้องการที่ล้นเหลือสำหรับการท่องเที่ยวที่มีความเสี่ยงพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ แม้ว่าเรือดำน้ำไททันจะเกิดอุบัติภัยระเบิดยุบใต้มหสมุทร กลายเป็นโศกนาฎกรรมที่น่าสลด
แต่คนรวยที่แสวงหาการผจญภัยแบบขีดสุด แปลกใหม่ ไม่เหมือนใครกลับมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน เห็นได้จากยอดจองทริปสุดหฤโหด ที่เปิดเผยโดยบริษัททัวร์ที่ชำนาญการด้านนี้โดยเฉพาะ
Get Lost เป็นบริการของบริษัททัวร์ชื่อ Black Tomato ซึ่งมีราคาเริ่มต้นที่ 10,000 ปอนด์ (ราว 446,000บาท) สำหรับทริปเที่ยวชมภูเขาไฟในโมร็อกโกหรือไอซ์แลนด์ที่กำลังจะระเบิด) ขณะที่ทริปที่ท่องไปแบบโดดเดี่ยวบนทุ่งหญ้าสเตปป์ในมองโกเลีย ซึ่งกินระยะเวลาเวลา 10 วัน จะมีราคาเพิ่มขึ้นเป็น 150,000 ปอนด์ (ราว 5.25 ล้านบาท)
ตัวอย่างที่ผ่านมาคือ การจัดทริปนี้ให้กับลูกค้าหญิงวัยกลางคนรายหนึ่งที่เดินทางด้วยอุปกรณ์ที่พกติดตัวน้อยชิ้น มีเพียงแค่ผ้าใบกันน้ำ อาหารแห้ง น้ำ แผนที่ และเข็มทิศ
ลูกค้าของทริป Get Lost จะถูกทิ้งให้เที่ยวตามลำพัง ในขณะที่ถูกติดตามโดยมองไม่เห็นและในระยะประชิดเพื่อรักษาความปลอดภัย โดยเจ้าหน้าที่ติดอาวุธที่ได้รับการฝึกฝนมา เมื่อเธอไปถึงจุดหมายปลายทาง ความหรูหราอลังการและความสะดวกสบายรออยู่
“Get Lost เป็นการรังสรรค์ประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรา และอาจต้องมีการวางแผนนานถึง 18 เดือนเลยทีเดียว
สำหรับลูกค้า มันเป็นการหลบหนีชีวิตในโลกที่ชาชินอย่างสุดโต่ง มักเป็นที่นิยมในหมู่คนรวยที่กำลังเผชิญเรื่องใหญ่ๆ หรือมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญในในชีวิต พวกเขาต้องการรวบรวมความคิดที่กระจัดจายขึ้นมาใหม่และค้นหามุมมองที่ต่างไปจากเดิม เพื่อเสริมพลังบวกให้กับตัวเอง”
Tom Marchant ผู้ก่อตั้ง Black Tomato ชาวอังกฤษกล่าว พร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า
"เทรนด์การเดินทางแบบสุดโต่งกำลังเพิ่มสูงขึ้นสำหรับลูกค้าของ Black Tomato โดยเพิ่มขึ้น 70% ในสหราชอาณาจักร และมากกว่า 80% ในสหรัฐอเมริกา
แต่ก็ชัดเจนว่านี่คือการเติบโตในตลาดที่มีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยรวม เพราะมีคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่มีกำลังทรัพย์พอจะเข้าถึงเทรนด์นี้ได้"
ด้าน James Willcoax จาก Untamed Borders บริษัทท่องเที่ยวเชิงผจญภัยที่ให้บริการการเข้าถึงสถานที่ที่น่าสนใจและไม่สามารถเข้าถึงได้ง่ายกล่าวว่า
“ถ้าคุณไม่มีเงินพอที่จะไปดาวอังคาร เรามีตัวเลือกอื่นที่จะนำเสนอ นั่นก็คือ Danakil Depression หรือแอ่งดานาคิล ที่อยู่ทางตอนเหนือของเอธิโอเปีย ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมโหดร้ายแห่งหนึ่งของโลก
ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ เราพากลุ่มนักธุรกิจหญิงสายลุย 11 คนไปทริปปั่นจักรยานเสือภูเขา 6 วัน ซึ่งกระตุ้นต่อมความท้าทายที่ไม่ธรรมดา เพราะไม่ใช่แค่ต้องเผชิญกับความร้อน 50°C ก๊าซพิษ และทะเลสาบลาวาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในแง่ของวัฒนธรรมและภาษาที่แตกต่างอีกด้วย
แม้จะดูไม่น่ารื่นรมย์และลำบากลำบนเกินจะทน แต่ในฐานะผู้ริเริ่มการเดินทางสุดขั้ว เราเชื่อว่าประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับนั้นล้ำค่า และมีความสำคัญมากกับพวกเขา"
ตัวอย่างการเดินทางแบบสุดขั้วอื่นๆ ที่ Untamed Borders นำเสนอ ได้แก่ การขี่จักรยานทางไกล การแสวงบุญ ว่ายน้ำเดินป่า รับประทานยาจากพืชในป่าแอมะซอนของเปรู ขี่ม้าผ่านปาตาโกเนีย (ที่ราบสูงบนเทือกเขาแอนดีส ตั้งอยู่ตรงรอยต่อระหว่างประเทศอาร์เจนตินาและชิลี) รวมถึงการตะลุยไปในประเทศที่อันตรายและมีความเสี่ยงสูงอย่างอัฟกานิสถาน โซมาเลีย และซูดาน เป็นต้น
แต่ไม่ว่าจะระหว่างการเดินทางจะสมบุกสมบันเพียงใด แต่ห้วงเวลาแห่งการหลับใหล รวมถึงอาหารการกินในแต่ละมื้อ จะไม่ละทิ้งความอุดมสมบูรณ์และความหรูหรา
"สิ่งที่นักท่องเที่ยวประเภทนี้ต้องการคือการหยุดพักจากกิจกรรมที่ต้องทำในแต่ละวัน เพื่อออกจากคอมฟอร์ตโซน ด้วยการมอบวันหยุดที่นอกเหนือไปจากการพักผ่อนแบบธรรมดา แต่หมายถึงการมอบประสบการณ์แบบครั้งหนึ่งในชีวิตและความสำเร็จในการเดินทางแบบเอ็กซ์ตรีมให้กับตัวเอง
การไปเที่ยวแล้วเอาแต่นอนอาบแดด และกิน ดื่มแบบเปรมปรีดิ์ในโรงแรมหรูในหาดที่มีค่าใช้จ่ายแพงระยับ ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับคนกลุ่มนี้อีกต่อไป เพราะพวกเขายินดีที่จะใช้จ่ายเงินจำนวนมากไปกับวันหยุดสุดฮาร์ดคอร์ ที่มักจะปิดท้ายค่ำคืนด้วยการพักผ่อนที่สุขสบายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"
ตัวอย่างทริปที่กำลังจะเกิดขึ้นของ คือ การเดินป่าในทาจิกิสถาน ที่จะพาลัดเลาะผ่านใจกลางเทือกเขา ระหว่างทางจะแวะพักในบ้านของชาวปามีรี ชนเผ่าพื้นเมืองที่มีอัธยาศัยดี และตั้งแคมป์ใกล้กับกองคาราวานอายุหลายร้อยปี
จากนั้นสำรวจชายฝั่งของทะเลสาบอัลไพน์สีฟ้าระยิบระยับ และไต่ระดับไปบนยอดเขาที่สูงกว่ายอดเขาใดๆ ในเทือกเขาแอลป์ของยุโรป ด้วยสนนราคา 2,750 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 96,400 บาท) ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินไปทาจิกิสถาน และค่าธรรมเนียมวีซ่า
กับทริปนี้กินระยะเวลานานถึง 16 วัน (หากเดินทางไปจากกรุงเทพฯ ไม่มีบินตรงไปยังเมืองหลวงของทาจิกิสถาน โดยมีค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับเริ่มต้นเกือบ 50,000 บาท แต่ไม่ต้องขอวีซ่า)
ด้าน Brown and Hudson บริษัทนำเที่ยวในลอนดอน สหราชอาณาจักร ซึ่งนำเสนอประสบการณ์การเล่นสกีด้วยเฮลิคอปเตอร์ การปีนเขาสูงชัน และการเดินป่าทึบในพื้นที่ห่างไกล
รวมถึงการสร้างสรรค์ทริปตามจินตนาการให้เป็นจริง เช่น การออกเดินทางและใช้ชีวิตแบบ เจมส์ บอนด์ สายลับ 007
"การเดินทางที่แปลกใหม่ ชุดทักซิโด้พอดีตัว...ผู้คนจำนวนมากทั่วโลกต่างเพ้อฝันเกี่ยวกับรถ เสื้อผ้า ของใช้ ไลฟ์สไตล์ ของพระเอกคนดัง ใครบ้างจะไม่อยากใช้ชีวิตสายลับระดับตำนาน ตัวละครที่ยืนหยัดคิดค้นสิ่งใหม่ๆ มานานกว่าครึ่งศตวรรษ?
และสำหรับหลายๆ คน การเดินทางสิ้นสุดลงที่จินตนาการ แต่จะเป็นอย่างไรหากมีวิธีที่จะดื่มด่ำกับชีวิตของตัวละครในดวงใจ ไม่เพียงเยี่ยมชมสถานที่อันน่าดึงดูดใจเท่านั้น แต่ยังเรียนรู้ทักษะทุกอย่างของสายลับ 007 ตั้งแต่หน่วยสืบราชการลับและการต่อสู้ระยะประชิดไปจนถึงสูตรสำหรับวอดก้ามาร์ตินี่ที่สมบูรณ์แบบ
ดังนั้นสำหรับแฟนตัวยงของ 007 หรือผู้ที่ต้องการฝึกฝนทักษะสายลับ ไม่มีวิธีใดที่จะสัมผัสชีวิตของเจมส์ บอนด์ได้ดีไปกว่าการผจญภัยที่ Brown and Hudsun ออกแบบมาให้ โดยคัดสรรประสบการณ์สุดพิเศษที่ต่อให้มีเงินก็ไม่สามารถซื้อได้จริงๆ ตั้งแต่การแนะนำให้รู้จักกับบุคคลที่ไม่ธรรมดา และให้ลูกค้าได้สัมผัสกับโลกแห่งความมืดมิดของการจารกรรม"
"ลูกค้าจะเริ่มภารกิจของเจมส์ บอนด์ ในรถยนต์ Aston Martin ซึ่งอาจจะเป็นรุ่น DB9 ที่มีสไตล์ หรือแม้แต่ DBS Ultimate รุ่นล่าสุด ที่บึ่งไปยังโรงฝึกลับในแถบชนบทของอังกฤษ แล้วพบกับอดีตบุคลากรจากหน่วยข่าวกรองระดับโลกและหน่วยรบพิเศษต่างๆ เพื่อเรียนรู้วิธีต่อต้านการซักถาม
ใช้อาวุธต่อสู้ต่างๆ และอาวุธปืน รวมถึง Walther PPK ปืนพกคู่กายที่โด่งดังของเจมส์ บอนด์ พร้อมหลบเลี่ยงการจับกุมในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตร และแม้กระทั่งการสังเกตถึงเครื่องดื่มที่มีพิษ
ขณะที่อดีตทหาร SAS (หน่วยรบพิเศษของกองทัพบกบริติช) จะฝึกฝนการสอดแนมแบบลับๆ ให้กับลูกค้าของเรา ด้วยการสะกดรอยตามถนนรนแคมต่างๆ ในลอนดอน
หรือพยายามหลบหนีการตามล่าด้วยการเหยียบรถซูเปอร์คาร์ไปตามถนนที่คดเคี้ยวบนเทือกเขาโดโลไมท์ของอิตาลีไปจนถึงอินเทอร์ลาเคิน เมืองที่รายล้อมด้วยทะเลสาบในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเปรียบเสมือนเมืองหลวงแห่งกีฬาผจญภัยของยุโรป
เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว อะดรีนาลีนของนักเดินทางจะสูบฉีดยิ่งขึ้นด้วยการทดสอบตัวเองด้วยการล่องแก่ง เดินบนธารน้ำแข็ง หรือกระโดดร่ม"
"นอกจากนี้เราจะพาลูกค้าไปบังเมืองเรคยาวิก ไอซ์แลนด์ เพื่อพูดคุยกับผู้สร้างที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ Die Another Day
เรียนรู้เคล็ดลับการค้าขายในโรงภาพยนตร์ขณะขับรถบนโจกุลซาลอน ทะเลสาบธารน้ำแข็งพันปี ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำและฉากต่างๆ มากมายใน 007" นี่คือรายละเอียดบางส่วนของทริปสุดหฤหรรษ์นี้
สำหรับกรณีของเรือดำน้ำไททันที่ผ่านมา Philippe Brown ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาและวางแผนประสบการณ์การท่องเที่ยวสุดระทึกแห่งนี้กล่าวว่า
"ลูกค้าของเราซึ่งมีอยู่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นวาณิชธนกร (ที่ปรึกษาทางการเงิน) ไปจนถึงผู้ประกอบการหรือผู้บริหารสายเทคโนโลยีในซิลิคอนวัลเลย์ กระทั่งเหล่านักธุรกิจและบุคลากรรัฐระดับสูงที่ร่วมประชุมดาวอส ตลอดจนนักการเงินและนักลงทุนรายใหญ่ที่พบเห็นได้ในงานประชุมซัน วัลเลย์
ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ยังคงต้องการมีส่วนร่วมในการท่องเที่ยวแบบเอ็กซ์ตรีม โศกนาฏกรรมจากภัยพิบัติต่างๆ ไม่ได้เป็นเหตุให้การเดินทางสุดขั้วยุติลง ทุกวันมีอุบัติเหตุที่น่าสลดใจ แต่ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป
ลูกค้าที่ร่ำรวยของบริษัทจึงไม่มีรีรอที่จะออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร แต่หลายคนได้สอบถามเกี่ยวกับการประเมินความเสี่ยง การจัดการ และการเยียวยา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีการพูดถึงในการท่องเที่ยวแบบหรูหรา”
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ Deep Ocean Tourism ทั้งแพง ทั้งเสี่ยง แต่ทำไมคนรวยถึงยอมจ่าย
สำหรับ Brown and Hudsun จะให้บริการเฉพาะลูกค้าที่เป็นสมาชิกเท่านั้น โดยต้องจ่ายค่าธรรมเนียมรายปีระหว่าง 9,715-100,200 ปอนด์ บวกภาษี (ราว 433,430-4,470,000 บาท บวกภาษี) ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่อาจสูงถึงหลายล้านบาทต่อทริปเลยทีเดียว
ซึ่งก่อนที่จะออกแบบโปรแกรมท่องเที่ยว ที่ปรึกษาของบริษัทฯ จะพบปะกับลูกค้าเพื่อหารือเกี่ยวกับวันหยุดพักผ่อนในฝันก่อนที่จะเริ่มวางแผนการเดินทางโดยละเอียด
ขณะนี้บริษัทฯ กำลังวางแผนการเดินทางสำหรับวาณิชธนกรของสหรัฐอเมริกา 12 คน เพื่อขี่จักรยานออฟโรดทางตอนเหนือของซีเรีย ประเทศที่บอบช้ำจากสงครามมานานกว่าทศวรรษ
“นอกเหนือจากความร่ำรวยระดับหนึ่งแล้ว คุณไม่สนใจรถยนต์สีฉูดฉาดคันอื่นหรือไอโฟนรุ่นล่าสุดเลย” Philippe Brown กล่าว
โดยตั้งข้อสังเกตว่าบรรดามหาเศรษฐีซึ่งมีสัดส่วนเพียง 1% ของโลก กำลังมองหาประสบการณ์จากการผจญภัยมากกว่าความหรูหราทางวัตถุ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนสถานะอันมั่งคั่ง รวมถึงเพื่อสะท้อนถึงรสนิยมและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างยากจะเลียนแบบของพวกเขา
“สิ่งของมักจะมีมูลค่าน้อยลง และพวกเขาไม่จำเป็นต้องโอ้อวดมากนัก เพราะรู้อยู่เต็มอกว่ามีทรัพย์สินระดับพันล้าน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศความมั่งคั่งของตัวเอง เนื่องจากมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งและเป็นเรื่องปกติในชีวิตของพวกเขาอยู่แล้ว
แต่การเป็นเพียงคนแรกหรือเพียงคนเดียวที่ได้ทำบางอย่าง หรือการสามารถเล่าเรื่องเจ๋งๆ ให้ครอบครัวหรือเพื่อนสนิทฟังต่างหาก เป็นสิ่งที่พวกเขาถวิลหาและต้องการที่เติมเต็มความต้องการนี้แบบไม่มีที่สิ้นสุด”
ส่วน Carl Shephard ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทท่องเที่ยว Insider Expeditions กล่าวว่า
"ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวรูปแบบใดความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเสมอ แต่การท่องเที่ยวหรูหราที่มาพร้อมกับความเอ็กซ์ตรีมนี้กำลังมอบประสบการณ์อันมีค่าให้กับนักเดินทางที่ไม่ต้องการจะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง”
บทความจากนิตยสาร MarketPlus Magazine Issue 158 June-July 2023