ด้วยวิสัยทัศน์และเป้าหมายในการยกระดับประเทศไทย ให้เป็นศูนย์กลางทางด้านธุรกิจการค้า และการท่องเที่ยวที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียนและของโลก ประกอบกับยุทธศาสตร์ในการปักหมุดย่านการค้าสำคัญ และวางเป้าหมายในการ พัฒนาย่านการค้า ไม่ใช่เพียงพัฒนาโครงการศูนย์การค้าของกลุ่มเดอะมอลล์
ทำให้การออกมาประกาศถึงแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ของ ศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ถูกให้ความสนใจไม่น้อย ถึงทิศทางที่กำลังจะมุ่งไปภายใน 5 ปีนับจากนี้ไป
ศุภลักษณ์ ประกาศไว้อย่างชัดเจนในงานแถลงข่าวเปิดตัว ศูนย์การค้า ดิ เอ็มสเฟียร์ เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า กลุ่มเดอะมอลล์ จะไม่ทำธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบเดิมๆ หรือแข่งขันในตลาดเดิมๆ อีกต่อไป แต่จะเป็นการมุ่งไปสู่สนามแข่งขันที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งผู้บริหารเดอะมอลล์ เปรียบเทียบไว้อย่างน่าฟังว่า ถ้าจะแข่งขัน ต้องลงไปแข่งในสนามที่เป็นฟอร์มูล่า วัน เท่านั้น
นั่นหมายถึงว่า ตามแผน 5 ปีของกลุ่มเดอะมอลล์ จะไม่ใช่เป็นแค่เพียงการสร้างศูนย์การค้า หรือช้อปปิ้งมอลล์ในรูปแบบเดิมๆ แต่จะเป็นการสร้างย่านธุรกิจการค้าให้กับกรุงเทพฯ เพื่อทำหน้าที่เป็นฟันเฟืองหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศไทย ก้าวไปเป็นหมุดหมายสำคัญในเรื่องของการท่องเที่ยว ที่มีเรื่องของช้อปปิ้งเข้ามาเป็นส่วนสำคัญ
เป็นการวางยุทธศาสตร์ที่สอดรับนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวโดยภาพรวม เช่นเดียวกับเมืองที่เป็นย่านการค้าสำคัญในโลก ด้วยปัจจัยสนับสนุนทั้งจากระบบรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมสำคัญภายในกรุงเทพฯ ที่เข้ามาช่วยยกระดับให้ทุกอย่างเป็นเรื่องสะดวกและง่ายขึ้น รวมถึงการก้าวไปเป็นย่านธุรกิจการค้าที่สำคัญของกรุงเทพฯ ที่กลุ่มเดอะมอลล์ให้น้ำหนักกับการขับเคลื่อนธุรกิจในรูปแบบที่ว่านี้ค่อนข้างมาก
ศุภลักษณ์ กล่าวว่า จากประสบการณ์การบริหารธุรกิจรีเทลมากกว่า 4 ทศวรรษ กลุ่มเดอะมอลล์ได้สร้างย่านการค้าจนประสบความสำเร็จมาแล้วเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา ในย่านรามคำแหง ท่าพระ และงามวงศ์วาน และยิ่งใหญ่ใน 2 มุมเมือง เมื่อปี 2537 ในย่านบางกะปิ สำหรับโครงการอภิมหาอาณาจักรศูนย์การค้าครบวงจร เดอะมอลล์ บางกะปิ และในย่านบางแค เพชรเกษม สำหรับเดอะมอลล์ บางแค
ต่อเนื่องกับโครงการ ลักซ์ชัวรีมอลล์แห่งแรกในประเทศไทยในปี 2540 กับโครงการศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม และปี 2558 กับโครงการศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ ซึ่งทั้ง 2 โครงการ เป็นโครงการสำคัญในย่านกลางเมือง (Midtown) ที่ส่งให้เกิดการขยายตัวของสังคม เศรษฐกิจ บริเวณใจกลางถนนสุขุมวิท รวมถึงการมีส่วนร่วมในการพัฒนาศูนย์การค้าสยามพารากอน ในย่านกลางเมืองให้เป็นปรากฏการณ์ Jewel of Asia - Retail & Entertainment Phenomenon
“เรามีความพร้อมในการ พัฒนาย่านการค้าให้มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น สอดรับกับแผนพัฒนา การขยายตัวของเมือง ผ่าน 3 โครงการศูนย์การค้า ใน 3 มุมเมืองที่มีเอกลักษณ์ มีลักษณะเฉพาะและ มีความโดดเด่น ด้วยมูลค่าเงินลงทุนรวม 3 โครงการกว่า 50,000 ล้านบาท โดยโครงการ ดิ เอ็มสเฟียร์ ใจกลางย่านการค้าถนนสุขุมวิท จะเป็นความเร้าใจใหม่ของกรุงเทพฯ ที่ไม่เคยหลับใหล หรือ SLEEPLESS METROPOLIS) ที่คัดสรรและรวบรวมศิลปะแห่งการใช้ชีวิตในทุกไลฟ์สไตล์มาไว้ในที่เดียว (Art of Dining, Art of Fashion, Art of Creative) รวมถึงเป็น Entertainment Hub of Asia
และจะสร้างปรากฏการณ์ BANGKOK CALLING THE WORLD พร้อมอภิมหาปรากฏการณ์เฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ด้วยงบประมาณ 1,000 ล้านบาท ฉลองร่วมกันทั้ง เอ็มดิสทริค ที่เป็นย่านธุรกิจการค้าสำคัญที่มี 3 ศูนย์การค้าระดับลักซ์ชัวรีของกลุ่มเดอะมอลล์เป็นตัวชูโรง”
ศุภลักษณ์ ย้อนภาพให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของการสร้างย่านการค้าบนตอนกลางของถนนสุขุมวิทให้ฟังว่า การเกิดขึ้นของศูนย์การค้าเอ็มโพเรียมเมื่อปี 2540 ถือเป็นการสวนกระแสตลาดค้าปลีกของบ้านเราอย่างมาก เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ที่ไม่มีใครกล้าลงทุนโครงการขนาดใหญ่
ทำให้กลายเป็นโอกาสของกลุ่มเดอะมอลล์ที่กล้าเสี่ยงเปิดศูนย์การค้าที่เป็นศูนย์รวมลักซ์ชัวรีแบรนด์แห่งแรกของประเทศขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องโชคดีที่ช่วงเวลานั้น คนไทยไม่เดินทางไปท่องเที่ยวหรือช้อปปิ้งสินค้าลักซ์ชัวรีแบรนด์ในต่างประเทศ
ขณะที่บรรดาลักซ์ชัวรีแบรนด์ชื่อดังก็มีสต๊อกสินค้าอยู่ในมือจำนวนมาก จึงเข้ามาร่วมกันทำตลาดที่ในที่สุดสามารถแจ้งเกิด ดิเอ็มโพเรียมได้สำเร็จอย่างงดงาม
ส่วนในครั้งนี้กับการเปิดตัว ดิ เอ็มสเฟียร์ อย่างเป็นทางการนั้น ศุภลักษณ์ มองว่า จะเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่เข้ามาทำให้ย่านธุรกิจการค้าบนตอนกลางของถนนสุขุมวิทมีความสมบูรณ์แบบ เพราะนอกจากการช้อปปิ้งแล้ว ดิ เอ็มสเฟียร์ ที่เน้นการเป็นแหล่งเอ็นเตอร์เทนเมนต์หรือแหล่งแฮงก์เอาต์สำคัญของกรุงเทพฯ ที่เข้ามาช่วยเพิ่มสีสันให้กับการใช้ชีวิตทั้งของคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ขณะที่ทั้ง 3 ศูนย์การค้าจะมี Positioning ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดย ดิ เอ็มโพเรียมจะเป็น LUXURY INSTITUTE หรือ ความเป็นที่สุดแห่งความหรูหรา และ ดิ เอ็มควอเทียร์ จะเป็น CUTTING EDGE LUXURY & HYBRID หรือความลักซ์ชัวรีที่เหนือระดับ มีความเป็นเอกลักษณ์ของไลฟ์สไตล์ ในขณะที่ ดิ เอ็มสเฟียร์ เป็น ฟิวเจอร์ รีเทล (Future Retail)
และเมื่อรวม 3 ศูนย์การค้าเข้าด้วยกัน เอ็มดิสทริค จะเป็นศูนย์การค้าแห่งอนาคตที่สมบูรณ์แบบ ที่สามารถขับเคลื่อนถนนสุขุมวิทให้เป็นย่านการค้าสำคัญ ดังเช่นย่านการค้าสำคัญในหลายประเทศ เป็นสิ่งใหม่ในอุตสาหกรรมรีเทลที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
“เอ็มดิสทริค จะเป็น DISTRICT OF HAPPENING โดยมีร้านอาหารที่ปิดดึกหลังเที่ยงคืน บางร้านเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง เป็นศูนย์รวมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ตอบโจทย์แนวคิด SLEEPLESS METROPOLIS หรือ เมืองที่ไม่เคยหลับใหล
ผสานกับศักยภาพของเอ็นเตอร์เทนเมนต์ระดับเวิลด์คลาส ได้แก่ UOB LIVE ซึ่งเป็น WORLD-CLASS ARENA ความจุ 6,000 ที่นั่ง รองรับการจัดคอนเสิร์ต กิจกรรมระดับโลก สนับสนุนแนวคิดการสร้างศูนย์กลางเอ็นเตอร์เทนเมนต์ในระดับภูมิภาคอาเซียน
ตลอดจนการเป็นสถานที่โชว์เคสของสุดยอดนวัตกรรมยนตรกรรมที่เป็น INNOVATIVE ระดับโลก อาทิ Rolls-Royce, BMW รวมถึงความสมบูรณ์แบบของ โชว์รูมยนตรกรรม INNOVATIVE ชั้นนำอีกมากมาย อาทิ แลนด์โรเวอร์, ปอร์เช่, วอลโว่, ฮุนได และ AION แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดขายเป็นอันดับ 3 ในประเทศจีน เป็นต้น”
ไม่เพียงแค่การสร้างย่านการค้าที่บนถนนสุขุมวิทตอนกลางเท่านั้น กลุ่มเดอะมอลล์ ยังมีการลงทุนทำโครงการขนาดใหญ่อย่าง Bangkok Mall บนถนนสุขุมวิทตอนบน โดยเป็นอีกโครงการที่มีโลเกชั่นค่อนข้างดี เพราะอยู่ใกล้แยกบางนา ที่จะเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญของรถไฟฟ้า 2 สาย โดยจะมีการทำโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ที่เชื่อมโยงไปสู่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งจะทำให้กลายเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญอีกแห่งของกรุงเทพฯ
โครงการนี้เป็นโครงการค่อนข้างใหญ่ ในส่วนของช้อปปิ้งมอลล์จะมีพื้นที่ถึง 1 ล้านตารางเมตร อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยจะมีการเติมเต็มแม่เหล็กใหญ่ๆ เข้าไป อาทิ การมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ เพื่อสร้างให้เป็นอีกแลนด์มาร์กสำคัญของกรุงเทพฯ ที่จะเป็นทั้งแหล่งช้อปปิ้ง และสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยในพื้นที่ใกล้เคียง
แม้จะถูกมองว่า ย่านบางนา เป็นพื้นที่ ‘เรดโซน’ ที่มีการแข่งขันของศูนย์การค้าขนาดใหญ่หลายศูนย์ ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัล บางนา, เมกา บางนา ของกลุ่มเซ็นทรัล หรือศูนย์การค้าในย่านใกล้เคียงบนถนนศรีนครินทร์ อย่างซีคอน สแควร์ และพาราไดซ์ พาร์ค
แต่ศุภลักษณ์ ก็มองว่า โลเกชั่นย่านนี้ จะเป็นอีกย่านธุรกิจการค้าที่สำคัญของถนนสุขุมวิทตอนบน ที่ไม่เพียงจะรองรับกำลังซื้อของคนในย่านนั้น แต่ยังสามารถรองรับนักท่องเที่ยว ที่จะเข้ามาใช้เวลาในย่านการค้าแห่งนี้ ก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศ
ขณะที่ โครงการเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ และบางแค ที่รีโนเวทเสร็จ และเพิ่งเปิดให้บริการเมื่อเร็วๆ นี้ จะถูกปั้นให้เป็น มหานครแห่งใหม่ ที่เป็นศูนย์กลางความมหัศจรรย์แห่งการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบและยิ่งใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก (THE MALL LIFESTORE - NEW HYBRID RETAIL FOR URBAN LIVING) บนทำเลที่มีศักยภาพการเติบโตสำคัญ
โดยทั้ง 2 โครงการ ที่มีพื้นที่รวมกว่า 700,000 ตารางเมตร (บางกะปิ 350,000 ตารางเมตร, บางแค 350,000 ตารางเมตร) จะช่วยสร้างปรากฏการณ์ของอาณาจักรศูนย์การค้าที่ยิ่งใหญ่ ครบวงจร เพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบ
เป็นอีกการเติมเต็ม คอนเซปต์การสร้างย่านธุรกิจการค้าของกลุ่มเดอะมอลล์ ที่จะเข้ามาเป็นแกนกลางในการขับเคลื่อนธุรกิจตามแผน 5 ปีที่วางไว้ ซึ่งทั้งหมดนั้น จะเป็น New Era of The Mall Group อย่างแท้จริง