สำหรับภาพรวมธุรกิจค้าปลีกในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ค่อนข้างชะลอตัวด้วยอัตราการเติบโตเพียง 2-3% แม้ปัจจุบัน การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคจะมีสภาพคล่องขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรก 2561 เติบโตอยู่ที่ 2.8% แต่ก็ถือว่ายังไม่สดใสเท่าที่ควร ซึ่งหากมีการผลักดันจากโครงการของภาครัฐเพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะทำให้ตลาดดีขึ้นได้อีก 3-5% ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ ในปัจจุบันแม้ช่องทางออนไลน์ จะยังคงมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับออฟไลน์อย่างค้าปลีก แต่กลับกลายเป็นว่า ออนไลน์มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่า 30% ในขณะที่ค้าปลีก เติบโตเพียง 3-4% เท่านั้น การเติบโตของช่องทางออนไลน์ดังกล่าว ดร.ฉัตรชัย ดวงรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เผยว่า มีผลจากหลายๆ ปัจจัยด้วยกัน อาทิ การเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วของเทคโนโลยีซึ่งมีความสมบูรณ์มากกว่าสมัยก่อน รวมไปถึงระบบขนส่งโลจิสติกส์ที่ราคาไม่แพง มีบริการอย่างทั่วถึง และปัจจุบันยังมีผู้เล่นรายใหญ่ๆ ที่เข้ามาผลักดันให้ตลาดออนไลน์ขยายตัวมากยิ่งขึ้น เช่น Alibaba และ Amazon นอกจากนี้ ยังมีการทุ่มงบการตลาดสูงทำให้ตลาดเติบโตอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกัน ธุรกิจค้าปลีกเอง กลับยังคง Play Safe หรือดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง รวมไปถึงกำลังซื้อของภาคเอกชนที่ค่อนข้างมีปัญหา และผู้บริโภคมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้นในช่องทางออนไลน์ ทำให้การเติบโตไม่มากเท่าที่ควร
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป การปรับตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตในสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงเช่นปัจจุบัน โดย 3 ข้อหลัก ที่ธุรกิจค้าปลีกจะต้องให้ความสำคัญ ได้แก่
Technology การนำเทคโนโลยีมาใช้ และพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อยู่เสมอ
Service การให้บริการที่ดี ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของค้าปลีกที่ออนไลน์ยังทำได้ยาก
Activity จัดกิจกรรมให้ลูกค้า เช่น กิจกรรมเวิร์คช้อป
นอกจาก 3 ข้อที่กล่าวมาแล้ว การเดินหน้าสู่ช่องทางออนไลน์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริโภค ก็เป็นอีกหนทางหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโต โดยธุรกิจค้าปลีกต้องทำตัวให้เป็น Multi Channel คือ มีทั้งออนไลน์ และ ออฟไลน์ เกิดการเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์สู่ ‘Omni Channel’ หรือ ‘O2O’ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียง Offline To Online เท่านั้น ยังหมายถึง Online To Offline อีกด้วย จะเห็นได้ว่า ไม่เพียงแค่ธุรกิจค้าปลีกที่กำลังปรับตัว แต่ธุรกิจออนไลน์เจ้าใหญ่ๆ อย่าง Amazon ก็มีการเปิดหน้าร้านขายหนังสือเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า นอกจากนี้ Alibaba ยังเดินหน้าจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ อย่างไม่หยุดหย่อน
นอกจากการเปิดรับเทคโนโลยีและรูปแบบการขายใหม่ๆ ที่กำลังเปลี่ยนไป ชาคริต ดิเรกวัฒนชัย อุปนายกฝ่ายกิจกรรมและประชาสัมพันธ์สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ยังเผยถึง 3 หัวใจหลัก ในการดำเนินธุรกิจ ดังนี้
1. ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ในการทำธุรกิจแน่นอนว่า หากเรามองการณ์ไกลได้มากกว่าคนอื่น ถือว่าเราได้เดินนำหน้าไปอีกก้าวหนึ่ง และการที่เราวางแผนในระยะยาว จะทำให้เรามีแนวทางที่จะเดินไปสู่เป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น แต่อย่าลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวังเสมอไป ดังนั้น ควรรู้จักเผื่อใจสำหรับปัญหาต่างๆ ที่จะเข้ามาอย่างไม่คาดฝัน
2. รู้เยอะ การทำธุรกิจต้องรู้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการจัดการ ระบบการขนส่งโลจิสติกส์ การบริหารคน ฯลฯ
3. มีความคิดสร้างสรรค์ เพราะความแตกต่างจะทำให้เราโดดเด่นมากกว่าคู่แข่ง
ปัจจุบัน Big Data ถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้บรรดาธุรกิจต่างๆ ได้เข้าใจและเข้าถึงผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น อาทิ ระบบสมาชิก ที่ทำให้รู้พฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้ง เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ในการบริหารจัดการ และพัฒนาบริการให้ตรงใจ
แต่อย่างไรก็ตามแม้ Big Data จะดูมีประโยชน์ในการทำธุรกิจ แต่ก็มีหลายธุรกิจที่ประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องพึ่ง Big Data โดยเฉพาะธุรกิจ SME ซึ่งการได้ข้อมูลมาอาจจะยากและอาจต้องเสียเงินซื้อข้อมูลมาใช้ นอกจากนี้ การมี Big Data ในมือ ก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน เพราะหากนำมาใช้ไม่เป็น สิ่งเหล่านี้ก็จะไม่เกิดประโยชน์
ดังนั้น Big Data จึงไม่ใช่ตัวชี้เป็นชี้ตาย ในการทำธุรกิจ หากแต่คือการปรับตัวให้ทันยุคทันสมัย คิดให้ได้ ทำให้เป็น และสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ ที่มีให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด