คงจะดีไม่น้อยหากเราค้นพบ Passion หรือความมุ่งมั่นทุ่มเทที่ปลุกให้เราอยากตื่นมาทำงานทุกเช้า โดยเฉพาะในวันที่การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทั้งเทคโนโลยีใหม่ ๆ พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และการแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรง ซึ่งทำให้ทั้งคนทำงานและผู้ประกอบการไม่ว่าขนาดเล็กหรือใหญ่ ต่างก็ต้องเร่งปรับตัวเพื่อตอบโจทย์ตลาดที่ต่างไปให้ได้
ล่าสุด “เอสซีจี” ซึ่งให้ความสำคัญกับการผลักดันคนรุ่นใหม่ที่มี Passion ในฐานะหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่จะร่วมขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมาย ด้วยการเปิดโอกาสให้พวกเขาได้เรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์จากการคิดค้นนวัตกรรมสินค้า บริการ และโซลูชั่นใหม่ ๆ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความยั่งยืนให้กับลูกค้า สังคม และสิ่งแวดล้อม ได้จัดกิจกรรมเปิดบ้าน “SCG Open House” เป็นครั้งแรก ภายใต้แนวคิด “Discover Our Passion, Discover Your Passion” ให้คนรุ่นใหม่ที่สนใจ ได้มาร่วมค้นหา Passion ในการทำงาน ตลอดจนการใช้ชีวิตด้านอื่น ๆ ผ่านการเยี่ยมชมและรับฟังแนวคิดการขับเคลื่อนองค์กรด้วยนวัตกรรม และการสร้างสรรค์โมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล จากทั้งพนักงานรุ่นใหม่และผู้นำองค์กรของเอสซีจี
เปิดใจรับการเปลี่ยนแปลง ปราการด่านสำคัญของการสร้างคนและองค์กร
"รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส" กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า โดยทั่วไปคนมักจะรู้จักเอสซีจีผ่าน 3 ธุรกิจหลักเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วเอสซีจียังมีเรื่องการให้บริการ การพัฒนานวัตกรรม ตลอดจนการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินธุรกิจเพื่อให้เกิดความยั่งยืน และตอบโจทย์ลูกค้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดสิ่งเหล่านั้นได้ ต้องอาศัย Passion โดยเฉพาะความกล้าในการเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นใหม่ ๆ ดังนั้น การเปิดบ้าน SCG Open House ในครั้งนี้ จึงเป็นความตั้งใจของเอสซีจีที่อยากแชร์เรื่องราวต่าง ๆ ให้ทุกคนเห็น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเอสซีจีให้เติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน
“ลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะความต้องการสินค้าและบริการที่มีคุณภาพมากขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาด คู่แข่ง ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัท ฉะนั้น Passion ของคนเอสซีจี จึงเป็นการคิดว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และนำสิ่งเหล่านั้นมาเป็นกำลังใจ เพื่อคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ตลาด และสังคมที่เปลี่ยนไปให้ได้เช่นกัน”
สร้างเรือเล็กด้านดิจิทัล ติดสปีดสู่เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในโลกสตาร์ทอัพ
“ดร.จาชชัว แพส” กล่าวในฐานะ Digital Transformation Director เอสซีจี ว่าบทบาทสำคัญของทีม Digital Transformation เปรียบเสมือนเรือเล็กที่ทำให้องค์กรปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงในยุค Digital Disruption ได้อย่างรวดเร็ว โดยมีหนึ่งในภารกิจ คือ การทำสตาร์ทอัพ ทั้งการร่วมมือกับภายนอก และการสร้างสตาร์ทอัพภายในองค์กร ที่แม้ว่ากว่า 95% ของสตาร์ทอัพในวงการมักล้มเหลวระหว่างทาง แต่เขาเชื่อว่าการเรียนรู้และทำทุกวันให้ดีขึ้น เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้กระบวนการและนวัตกรรมต่าง ๆ ขับเคลื่อนไปได้
“Digital Transformation ต้องเชื่อมโยงกับสตาร์ทอัพผ่าน Corporate Venture ซึ่งเอสซีจีได้ตั้ง AddVentures ขึ้น เพื่อเป็นหน่วยงานเข้าไปสนับสนุนกลุ่มสตาร์ทอัพต่าง ๆ รวมถึงการหาพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อนำนวัตกรรมต่าง ๆ มาแก้ปัญหาให้องค์กร ซึ่งปัจจุบันได้นำไปใช้แล้วกว่า 70 ตัว ตลอดจนการทำ Data Analytic และ Digital Marketing เพราะเราไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างขึ้นมาเอง แต่ต้องหาความร่วมมือใหม่ ๆ เพื่อให้ทุกอย่างเร็วขึ้น นอกจากนี้ เอสซีจียังทำ Internal Startup หรือสตาร์ทอัพภายในองค์กร ภายใต้โครงการ “Hatch-Walk-Fly” ด้วยแนวคิดที่เชื่อว่าไอเดียต่าง ๆ ของสตาร์ทอัพซึ่งเป็นคนในองค์กรไม่ว่าใครก็ตามที่สนใจก็เหมือนไข่ ที่เรามีหน้าที่ต้องฟูมฟักให้ออกมาเป็นลูกนก จนสามารถเดิน และบินได้ด้วยตัวเองในที่สุด”
Internal Startup สนามแห่งโอกาสสำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีฝันของตัวเอง
หนึ่งในพนักงานที่ร่วมโครงการ Internal Startup ของเอสซีจีอย่าง “เจมส์ พฤทธิวรสิน” ผู้ร่วมก่อตั้ง Urbanice ซึ่งช่วยแก้ปัญหาด้านการสื่อสารข้อมูล ระหว่างนิติบุคคลและลูกบ้านในคอนโดหรือบ้านจัดสรรให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นในการทำสตาร์ทอัพนี้ว่า หลังจากตนได้ทำงานในตำแหน่งวิศวกรกับเอสซีจีราว 3 ปี ก็ได้สมัครขอรับทุนของเอสซีจีเพื่อไปศึกษาต่อด้านการบริหารธุรกิจ ด้วยความสนใจที่อยากจะทำธุรกิจใหม่ ๆ แต่เมื่อเรียนจบกลับมาแล้วก็รู้สึกว่างานที่ทำอยู่ยังไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร จึงสนใจเข้าร่วมหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ในโครงการนี้
“ผมอยากทำสิ่งที่เป็น Digital Product เมื่อเห็นว่ามีโครงการ Internal Startup จึงสมัครเข้าร่วมหลังเรียนจบและได้ทำงานไประยะหนึ่ง จากนั้นโครงการนี้จะมี Mentor และโค้ชเก่งๆ ในวงการสตาร์ทอัพที่เอสซีจีจัดมาให้ความรู้และคำแนะนำกับเราอยู่ตลอด และเมื่อได้เข้ามาทำสตาร์ทอัพจริง ๆ แล้ว ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงคำว่า Ownership หรือความเป็นเจ้าของในธุรกิจนั้นอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการได้ออกไปพบลูกค้า ซึ่งทำให้เรารับรู้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และสามารถนำมาพัฒนาต่อยอดธุรกิจได้ นอกจากโอกาสที่ได้รับจากเอสซีจี ทั้งการได้ทุนไปเรียนต่อ ได้ย้ายตำแหน่งหรือหน่วยงานไปเจอสิ่งใหม่ ๆ แล้ว สิ่งสำคัญที่ทำให้เราประสบความสำเร็จและมายืนในจุดนี้ได้ คือการที่เราต้องเริ่มรู้จักตัวเองก่อนว่าอยากทำอะไร แล้วมุ่งหน้าไปศึกษาหาความรู้อย่างจริงจัง และหาโอกาสที่จะก้าวไปสู่สิ่งที่อยากทำให้ได้”
ให้แรงบันดาลใจ ไปสู่การออกแบบโซลูชั่นที่ดีกว่า เพื่อลูกค้าและองค์กร
ไม่เพียงแต่โครงการ Internal Startup เท่านั้นที่มุ่งผลักดัน Passion ของคนรุ่นใหม่ให้เป็นจริง แต่ทุกธุรกิจของเอสซีจี ก็เชื่อว่า Passion เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องได้รับการสนับสนุนเพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ลูกค้าและสังคมเช่นกัน ซึ่ง “วิจิตรวรรณะ บุรพจิต” Assistant Design Catalyst Manager ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี คือหนึ่งในพนักงานที่ได้รับโอกาสนั้น เล่าให้ฟังว่า งานที่เธอทำเกี่ยวข้องกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ โดยเป็นการนำวัตถุดิบที่มีอยู่มาเพิ่มมูลค่า ด้วยการออกแบบที่มีความพิเศษเพื่อสร้างสรรค์ให้สินค้าเกิดความแตกต่างและเป็นที่จดจำ สิ่งนี้คือ Passion ของเธอที่ตอบโจทย์ทั้งลูกค้าและองค์กร ซึ่งถูกเติมเต็มให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยโอกาสในการได้ไปศึกษาต่อในสาขาเฉพาะทาง
“เรามีแรงบันดาลใจที่อยากทำเรื่องการออกแบบ เพราะเห็นช่องว่างและปัญหาในธุรกิจ ประกอบกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว งานนี้จึงท้าทายมากว่าเราจะสามารถสร้างความแตกต่างให้สินค้าและบริการ รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มหรือ Better Solution ที่ตอบโจทย์ทั้งลูกค้าและองค์กรไปพร้อมกันได้อย่างไร อย่างการออกแบบบรรจุภัณฑ์ใส่อาหารก็จะต้องเริ่มต้นจากความเข้าใจลูกค้า รวมถึงสินค้าและบริการนั้น ๆ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างตรงจุด เช่น สามารถใส่อาหารหลายอย่างรวมกันได้และง่ายต่อการจัดอาหารของพนักงาน ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบ นอกจากนี้ การได้รับโอกาสให้ไปศึกษาต่อด้าน Innovation Management ซึ่งเป็นทุนเฉพาะทาง ก็ทำให้เราได้เปิดหู เปิดตา เปิดมุมมองที่กว้างขึ้น และสามารถนำมาต่อยอดเป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ด้วย”
พกความมุ่งมั่นที่เข้มข้น ไปค้นหาการพัฒนาที่ท้าทายในดินแดนใหม่
ขณะที่ “ศตพร ณ สงขลา” Business Development Manager ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี ที่ได้รับโอกาสให้ไปปฏิบัติงานในต่างประเทศ บอกเล่าถึงประสบการณ์นี้ด้วยความมุ่งมั่นว่า เธอไม่รีรอที่จะตอบตกลงทันทีเมื่อได้รับมอบหมายให้ไปทำงานที่อินโดนีเซียหลังได้รับทุนเรียนจบ และแม้การไปทำงานจริงจะท้าทายกว่าที่คิด แต่เธอบอกว่าก็สนุกกว่าที่คิดเช่นกัน เพราะนอกจากจะต้องรับผิดชอบการวางแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจแล้ว ยังต้องหาโอกาสใหม่ ๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าด้วย
“ทีมงานที่เต็มไปด้วย Passion มีส่วนสำคัญที่จะทำให้งานออกมาดี เพราะการที่ทุกคนพร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุข ทำให้เราก้าวข้ามอุปสรรคไปสู่เป้าหมายความสำเร็จที่วางไว้ได้ แต่การที่แต่ละคนมี Passion มีความคิดที่หลากหลาย สิ่งที่เราต้องทำก็คือ การทำให้ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน นอกจากนี้ อีกความท้าทายหนึ่ง คือการที่อินโดนีเซียเป็นประเทศใหญ่ ลูกค้าจึงกระจายอยู่ตามเกาะต่าง ๆ การจะไปพบลูกค้าได้จึงต้องจัดลำดับความสำคัญให้ดี รวมทั้งยังต้องก้าวผ่านความแตกต่างด้านวัฒนธรรม เพื่อนำไปสู่โซลูชั่นที่ดีให้ได้”
ศตพรทิ้งท้ายว่า เราควรสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้ตนเองอยู่เสมอ ด้วยการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้า เพื่อให้เกิดเป็นมิตรภาพที่ดีและเป็นพันธมิตรทางธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งไม่เพียงแต่องค์กรจะได้รับประโยชน์เท่านั้น แต่เราก็จะได้เรียนรู้การทำงานที่หลากหลาย เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ตัวเองด้วย
โอกาสและ Passion กุญแจสำคัญขับเคลื่อนนวัตกรรมของเอสซีจี
ทั้งหมดนี้ สอดคล้องกับที่ “รุ่งโรจน์” บอกว่า คนรุ่นใหม่ในบริบทของเอสซีจีไม่ได้มองที่เรื่องอายุ แต่มองถึงคนที่มีมุมมองหรือทักษะด้านเทคโนโลยีเพื่อนำมาปรับใช้ในการทำงาน อีกทั้งยังต้องมีความกล้าที่จะลองคิด ลองทำ กล้ายอมรับความล้มเหลวและอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงตัวเองให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งแนวทางในการบริหารคนรุ่นใหม่เหล่านี้ที่เอสซีจีให้ความสำคัญ คือ “การให้โอกาส” เพราะเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการที่สุด
“การที่คนรุ่นใหม่ได้ทดลองทำสิ่งใหม่ ๆ ทำให้เขากล้าที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ซึ่งเอสซีจีก็ให้โอกาสเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการให้ไปเรียนต่อตามความชอบ ความถนัด การให้โอกาสในการเข้าไปทำตลาดในประเทศใหม่ ๆ กระทั่งโอกาสในการพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ฉะนั้นโอกาสและ Passion จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ถูกปลูกฝังและถ่ายทอดต่อกันมาตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจของเอสซีจี ผมเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทำให้เราสามารถพัฒนาขึ้นได้ เพราะทุกคนคงหนีไม่พ้นสภาวะของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งบางครั้งอาจจะสำเร็จบ้าง เจออุปสรรคบ้าง หรืออาจจะล้มเหลว แต่บทเรียนที่สำคัญก็มักจะมาจากความล้มเหลวหรืออุปสรรคในการทำงานนั่นเอง”
นี่จึงถือเป็นสปิริตหรือ Passion ของเอสซีจี ที่จะเรียนรู้และนำเอาบทเรียนเหล่านั้นมาพัฒนาปรับปรุงคนและองค์กรต่อไปในระยะยาว รวมทั้งหวังให้เกิดการถ่ายทอดไปสู่คนรุ่นใหม่ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ในวันข้างหน้า