"ท่ามกลางความท้าทายทั้งด้านเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี นักการตลาดต้องปรับตัวตาม Megatrend ตลอดมาตั้งแต่ยุคเก่าที่เน้นภาคการผลิต จนมายังยุคปัจจุบันที่ดิจิทัลและ new media เข้ามามีบทบาท และต้องมองไปข้างหน้าสู่ยุคที่มุ่งเน้นปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีสะอาด หุ่นยนต์ ในส่วนของช่องทางการตลาดเองก็เปลี่ยนผ่านจากตลาดที่เน้นปฏิสัมพันธ์แบบพบหน้า (Physical) มายังช่องทางการตลาดดิจิทัล (Digital) ในอนาคตก็จะกลายเป็นตลาดแบบหลอมรวม (Immersive)”
นี่คือคำกล่าวของ ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย Marketing Association of Thailand (MAT) ที่เกริ่นนำถึงแนวทางการรับมือกับความท้าทายที่กำลังจะเกิดขึ้นในบ้านเรา อันเนื่องมาจากผลพวงของการเปลี่ยนแปลงของโลกการตลาด
เขาบอกว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทำให้ต้องมีการเร่งปรับตัวเพื่อให้ทันกับสิ่งที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นส่วนสำคัญของการผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจบ้านเรา เพราะมีสัดส่วนถึง 35% ของระบบเศรษฐกิจ ต้องยิ่งเร่งปรับตัว โดยเฉพาะกับการปรับให้ทันกับเมกะเทรนด์ของธุรกิจ และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
“อุตสาหกรรมที่เป็นแมส จะต้องมีการมองถึงการ Fragmentation มากขึ้น ไม่ใช่เป็นการทำตลาดแบบแมสอีกต่อไป ขณะเดียวกันก็ต้องมองถึงเรื่องการผลิตที่พึ่งเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง Iot หรือ AI มากขึ้น”
ส่วนการทำธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายจากสภาพเศรษฐกิจนั้น นายกสมาคมการตลาดมองว่า ต้องให้ความสำคัญกับ 5 เรื่องหลักๆ ไล่เรียงตั้งแต่
“เอเซีย จะเป็นฐานที่สำคัญในอนาคตอันใกล้ เพราะนอกจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง ต่างจากในยุโรปและอเมริกาแล้ว อย่างกัมพูชา จีดีพีของเขาโตเกิน 5% มาหลายปีแล้ว ทำให้ต้องเร่งทำความเข้าใจถึงความต้องการของคนในประเทศเหล่านั้น เพื่อผลิตสินค้าได้ตรงกับความต้องการของตลาด”
ขณะที่กลยุทธ์สำคัญสำหรับ SMEs ไทย ในการเร่งเครื่องสู่ความสำเร็จท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ ภายใต้แนวคิด ‘A-B-C-D-E 5 คันเร่งการตลาดสำหรับ SMEs’ ซึ่งเป็นมุมมองที่จะช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืน นั่นคือ
โดยในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้นเรื่อยๆ SMEs ไทยจำเป็นต้องปรับตัวและมองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ แนวคิด A-B-C-D-E 5 คันเร่งการตลาดสำหรับ SMEs นี้จะเป็นเข็มทิศสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถนำพาธุรกิจไปสู่ความสำเร็จในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างมูลค่าและคุณค่าให้กับลูกค้า มากกว่าการแข่งขันด้านราคา ซึ่งจะช่วยให้ SMEs สามารถสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจในระยะยาว
“หากผู้ประกอบการ SMEs ต้องแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ ต้องเข้าใจด้วยว่า บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เขาจะโฟกัสที่การเติบโตทางธุรกิจ ซึ่งเป็ภาระกิจสำคัญของเขา ขณะที่ SMEs หลังจากนี้ไป ควรต้องหันมาโฟกัสที่การทำกำไรมากกว่าเรื่องของจำนวนลูกค้า นั่นคือ เน้นไปที่การทำกำมากกว่าการเติบโตของยอดขาย เพราะแม้ว่าจะมีการเติบโตของยอดขายที่ดี แต่หากกำไรมีออกมาน้อย ก็ไม่ส่งผลดีต่อการทำธุรกิจเท่าไรนัก”
นายกสมาคมการตลาด ยังเสริมอีกว่า ผู้ประกอบการ SMEs ควรจะต้องมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดต้นทุน เพื่อให้สามารถทำกำไรได้มากขึ้น โดยมองว่า การทำตลาดในประเทศในครึ่งปีหลังนี้ จะยากลำบากมากขึ้น เนื่องจากกำลังซื้อได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เพราะฉะนั้นแล้ว จึงต้องมีการนำเรื่องของ Emotional Marketing เข้ามาใช้ในการทำตลาดเพื่อช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดการตัดสินใจซื้อ
“ขณะเดียวกัน ในแง่ของตัวผู้บริโภคเอง สิ่งที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงก็คือ พวกเขาจะฉลาดขึ้น รวมถึงฉลาดที่จะเลือกสินค้าที่ยืนเคียงข้างพวกเขาอย่างจริงใจ โดยสิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่นอนก็คือ ลอยัลตี้ หรือความจงรักภักดีต่อแบรนด์จะมีลดลง เพราะฉะนั้นแล้ว นักการตลาดต้องมีการทำการบ้านที่หนักขึ้น เพื่อตามให้ทันในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเหล่านี้”
บทความจากนิตยสาร MarketPlus 168 July 2024