เรียกว่าสร้างสีสันให้กับแวดวงธุรกิจร้านอาหารได้ไม่น้อยเลยทีเดียว เมื่อ 3 พันธมิตรทางธุรกิจ อย่าง บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด (Food Factors), บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA และ ปิยะเลิศ ใบหยก (เบียร์ ใบหยก) ผนึกกำลังเชื่อมธุรกิจร้านอาหารเข้ามาไว้ด้วยกัน ภายใต้บ้านหลังใหม่อย่าง ‘FAB’ หรือ บริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียนมากถึง 2,500 ล้านบาท
กลายเป็นดีลที่ถูกจับตาเป็นอย่างมาก ภายหลัง ฉาย บุนนาค รักษาการประธานกรรมการบริหาร บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA ได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงการได้มาและจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ของบริษัท เรื่อง การปรับโครงสร้างและการเข้าลงทุนในธุรกิจอาหารในการประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 5/2567 เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 โดยมีสาระสำคัญคือ การจัดตั้งทำธุรกิจร้านอาหาร ร่วมกับ บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด และ ปิยะเลิศ ใบหยก (หรือ เบียร์ ใบหยก)
หลังจากนั้นไม่นาน AQUA อาศัยจังหวะเครื่องร้อน ประกาศเปิดตัว บริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง จำกัด หรือ ‘FAB’ อย่างเป็นทางการในวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 โดยชื่อ บริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง จำกัด - ‘FAB’ เกิดจากการรวมกันของ 3 พันธมิตรที่มี passion ด้านอาหาร ได้แก่
โดยมีการแต่งตั้ง ปิยะเลิศ ใบหยก ขึ้นนั่งในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของ บริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง จำกัด อีกด้วย
ที่น่าสนใจคือ FAB มีทุนจดทะเบียนสูงถึง 2,500 ล้านบาท โดยมี อควา คอร์เปอเรชั่น เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ 51% มีการรวมแบรนด์ร้านอาหารทั้งสิ้น 8 แบรนด์ จำนวนสาขารวม 204 สาขา แบ่งเป็น
ฉาย บุนนาค ได้กล่าวในการเปิดตัวครั้งนั้นไว้ว่า หลังจากที่ AQUA ได้มีการขายธุรกิจป้ายออกไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ทำให้บริษัทเริ่มมองหาธุรกิจใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเติมพอร์ตฯ สร้างการเติบโตและรายได้ที่มั่นคงให้กับบริษัท และธุรกิจอาหารคือสิ่งที่มองไว้เพราะเป็นธุรกิจที่มั่นคงเนื่องจากอาหารเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต
กระทั่งได้มีโอกาสพูดคุยกับทาง เบียร์ ใบหยก และ เต้ - ภูริต ภิรมย์ภักดี ซึ่งทั้งสองคนเป็นผู้มีประสบการณ์ทั้งด้านอาหารและเครื่องดื่มเป็นอย่างดี จนกลายเป็นที่มาของดีลใหญ่ครั้งนี้ ซึ่งทาง AQUA เอง ได้เข้าสู่วงการอาหาร โดยเริ่มจากธุรกิจราเมง อย่าง Ramen Desu (ราเมงเดส) ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 5 สาขา
“ทั้ง 3 พาร์ตเนอร์ต่างมีเป้าหมายเดียวกันและมีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจอาหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เรามองว่าการทำ Synergy ร่วมกันในครั้งนี้จะผลักดันให้กลุ่ม AQUA ในฐานะ Investment Company สามารถสร้างแหล่งรายได้จากประเภทธุรกิจอาหารได้มากขึ้น และเรามั่นใจด้วยว่าการได้ร่วมงานกับทีมที่มีประสบการณ์ รวมถึงได้รับเกียรติจากคุณเบียร์ ใบหยก มานำทัพเป็น CEO ของ FAB เอง จะทำให้ FAB เป็นส่วนผสมที่ลงตัว ถ้าเทียบกับอาหารจานหนึ่งแล้ว ผมคอนเฟิร์มว่าจะต้องเป็นเมนูที่อร่อย จัดจ้าน ทานได้ไม่เบื่อ และได้รับการการันตีรางวัลจากนักทานอย่างแน่นอน”
ด้านพี่ใหญ่อย่าง ภูริต ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า
บริษัทฯ มองเห็นโอกาสในการพัฒนายกระดับสินค้าและบริการในกลุ่มร้านอาหาร ภายใต้บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด ให้ดียิ่งกว่าเดิม จึงร่วมมือกับบริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ เบียร์ ใบหยก ซึ่งเป็นทั้งรองประธานกลุ่มใบหยก และ CEO ของบริษัท บีเอ็นเอฟ โฮลดิ้ง จำกัด โดยจะนำความถนัดและจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาผนึกกำลังกัน
“ผมได้รับมอบหมายให้มาดูฟู้ด แฟคเตอร์ แต่ถ้าเราอยู่แบบเดิมมันก็ไม่ได้อะไร ต้องคิดใหม่ ทำใหม่ ตัวผมเองถนัดเรื่องเครื่องดื่ม แต่เรื่องอาหารอาจไม่ถนัด คุณเบียร์เขาทำร้านอาหารและประสบความสำเร็จมาแล้วหลายร้าน คุณฉายเองเขาก็อยากหา New S Curve ทางธุรกิจใหม่ๆ ถ้าเราได้คนที่เขาถนัดและมี passion อย่างคุณเบียร์และคุณฉายมาช่วย มันก็ทำให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้”
สำหรับ ฟู้ด แฟคเตอร์ นั้น มีแบรนด์ร้านอาหารในเครือรวม 3 แบรนด์ ได้แก่ ร้านซานตา เฟ่, ร้านซานตา เฟ่ อีซี่ และร้านเหม็ง แซ็ปนัว โดยมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งอย่าง ‘ซานตาเฟ่’ ที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 20 ปี เป็นเรือธง ซึ่งปัจจุบันซานตาเฟ่มีสาขาอยู่ที่ 127 สาขา และซานตา เฟ่ อีซี่ อีก 5 สาขา
“อย่างร้านซานตาเฟ่ซึ่งเป็นแบรนด์ที่อยู่คู่สังคมไทยมานาน ผมเชื่อว่าด้วยความถนัดและความสามารถของคุณเบียร์ จะสามารถรีเฟรชแบรนด์ซานตาเฟ่ให้ทันสมัยและสร้างการเติบโตได้อีกมาก”
ส่วน ปิยะเลิศ ใบหยก รองประธานกลุ่มโรงแรมใบหยก และ CEO บริษัท บีเอ็นเอฟ โฮลดิ้ง จำกัด หรือที่ใครหลายๆ คนรู้จักในชื่อ ‘เบียร์ ใบหยก’ อีกหนึ่งคีย์แมนคนสำคัญของดีลครั้งนี้ ถือเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่เป็นที่รู้จักและประสบความสำเร็จจากการสร้างแบรนด์ร้านอาหาร รวมทั้งการสานต่อธุรกิจของครอบครัว และเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจ Hospitality
มีธุรกิจร้านอาหารแบรนด์ดังอย่าง ส้มตำเจ๊แดง สามย่าน และร้านปีกไก่ทอดอันดับ 1 จากเมืองนาโกย่า เซไค โนะ ยามะจัง (Sekai no Yamachan), ร้านอุชิดายะ ราเมน และร้านอิคโคฉะ ราเมน อยู่ในมือ ซึ่งบทบาทใหม่ในฐานะ CEO ของ FAB เบียร์ เน้นย้ำว่า “การรวมกันครั้งนี้ต้องมันกว่า” โดยจะมีการปรับภาพลักษณ์ทุกแบรนด์ให้ทันสมัยมีสีสันเพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ พร้อมสร้างการเติบโตให้กับบริษัท โดยนำจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาผสานกัน
“กลุ่มเป้าหมายหลักของ FAB จะเน้นที่กลุ่ม Young generation ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีอิทธิพลมากที่สุดในตลาดปัจจุบัน เพราะมีการตัดสินใจที่เฉียบขาด กล้าที่จะใช้จ่ายกับสินค้าและการบริการที่คิดว่าตอบโจทย์ความต้องการของตัวเอง และในขณะเดียวกันยังคงรักษาฐานลูกค้าเก่าไว้ด้วย เราพยายามหาจุดเด่นของตัวเอง เพื่อเจาะเข้าถึงตัวลูกค้าได้และต้องเป็นผู้นำทุกเทรนด์ ที่สำคัญคือความจริงใจต้องมาก่อน จึงจะสามารถครองใจผู้บริโภคได้”
โดยสิ่งที่จะได้เห็นจากการ Synergy ครั้งนี้ คือระบบหลังบ้านที่แข็งแรงมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีพนักงานรวมกันกว่าพันคนที่จะรวมอยู่ในออฟฟิศแห่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ส่วนอีกหนึ่งจุดแข็งที่เกิดขึ้นจากการรวมกันคือ Economy of Scale ที่ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบของอาหารลดลงทันที 2-3% รวมถึงการคอลแลปส์สนุกๆ ระหว่างแบรนด์ที่จะเกิดขึ้นตามมาอีกด้วย
ส่วนกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตให้กับ FAB นั้น จะมีทั้งการขยายแบรนด์เดิมและการเพิ่มแบรนด์ใหม่ที่มีทั้งการพัฒนาเอง ร่วมทุน และซื้อแบรนด์เข้ามา ซึ่งในระยะเริ่มแรกเบียร์ จะโฟกัสที่การรีเฟรชแบรนด์ซานตาเฟ่ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเป็นแบรนด์ที่มีสาขามากที่สุด มีศักยภาพ และสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เห็นได้ชัด ที่สำคัญยังเป็นแบรนด์ที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัทอีกด้วย
“เบื้องต้นเราจะรีเฟรชและรีทัชแบรนด์ซานตาเฟ่ก่อน เพราะมีสาขามากที่สุด จะทำให้ทันสมัยสดใสและสนุกมากขึ้น ซึ่งต้นปีหน้าน่าจะได้เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง อย่างร้านเจ๊แดง ผมทำมา 2 ปี ตอนนี้มี 10 สาขา ในอนาคตเราอยากพาแบรนด์เจ๊แดงไปต่างจังหวัด อาจจะคอลแลปส์กับร้านเหม็ง แซ็ปนัว อะไรที่เหม็ง แซ็ปนัวมีแต่เจ๊แดงไม่มี และเจ๊แดงมีอะไรที่เหม็ง แซ็ปนัวไม่มี ก็เอามารวมกัน ผมว่าไปท่านี้น่าจะสนุก ถ้าไปแล้วรู้สึกว่าแบรนด์น่าสนใจ อาหารน่าสนใจมากขึ้น ผมว่าคอลแลปส์กันได้”
ซึ่งแผนการขยายสาขาสู่ต่างจังหวัดจะใช้จุดแข็งของซานตาเฟ่ที่มีสาขาในต่างจังหวัดและมีระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งอยู่แล้วเป็นฐาน ส่วนการเพิ่มแบรนด์ใหม่นั้น คุณเบียร์เปิดเผยว่าเบื้องต้นจะเปิดแบรนด์ปิ้งย่างเพิ่มเติมโดยเป็นแบรนด์ที่พัฒนาเอง ตั้งเป้าคร่าวๆ เปิดเพิ่มปีละหนึ่งแบรนด์
“ปีหน้าอยากเปิดร้านปิ้งย่าง เป็น 8 + 1 ถ้าให้ดีผมว่าเปิดปีละหนึ่งแบรนด์กำลังสวย ส่วนร้านเจ๊แดง ปีหน้าอยากเปิดเพิ่มอีก 12 สาขา เฉลี่ยเดือนละสาขา ถ้าไปอยู่ในปั๊มได้ก็ยิ่งดี”
สิ่งที่น่าสนใจคือ ในฐานะ CEO คุณเบียร์มองภาพใหญ่ของ FAB ในอนาคตไว้อย่างไร?
“หัวใจสำคัญของการทำธุรกิจอาหารคือ passion และประสบการณ์ งานแรกของผมในฐานะ CEO เราต้องปรับภาพลักษณ์บริษัทให้มันสดใสทันสมัยก่อน ผมดูสิ่งใกล้ตัวก่อนเลยและมองเห็นว่ามันมีทางที่จะทำให้มันสนุกมากขึ้นเป็นร้านแนวใหม่ ผมมั่นใจว่า 8 แบรนด์ที่เรามีจะสามารถทำให้มันแข็งแรง แต่งตัวแต่งหน้าให้ดูทันสมัยและเซ็กซี่มากขึ้น การปรับปรุงหรือขยายสาขาต่อไปในอนาคต ผมเชื่อว่าด้วยพลังของทั้ง 3 กลุ่ม มันไปได้ไกล”
เบียร์ทิ้งท้ายไว้อีกว่า เร็วๆ นี้ จะมีแฟล็กชิปสโตร์ที่รวมทุกแบรนด์ในเครือ FAB มาไว้รวมกันบนพื้นที่กว่า 3 ไร่ และมีอะไรสนุกๆ ออกมาอีกอย่างแน่นอน ต้องคอยติดตาม