กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) รายงานผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 2567 มีกำไรสุทธิจำนวน 23,424 ล้านบาท ลดลง 7.0% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของการตั้งสำรอง ตอกย้ำนโยบายการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบระมัดระวัง ภายใต้บริบทสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่ไม่เอื้ออำนวย
กรุงศรีมุ่งมั่นให้ความช่วยเหลือแก่ทั้งกลุ่มลูกค้าธุรกิจและกลุ่มลูกค้ารายย่อย ผ่านมาตรการช่วยเหลือที่หลากหลาย เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจของลูกค้าสามารถฟื้นตัว รวมทั้งยังคงมีเสถียรภาพด้านการเงิน ภายใต้ความเปราะบางด้านเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมา
สรุปผลประกอบการและฐานะการเงินที่สำคัญสำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567:
นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
“ในฐานะผู้ให้บริการทางการเงินที่มีความรับผิดชอบ กรุงศรียังคงให้การสนับสนุนแก่ลูกค้าทั้งภาคธุรกิจและรายย่อยอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจของลูกค้าสามารถฟื้นตัว รวมทั้งยังคงมีเสถียรภาพด้านการเงิน ผ่านมาตรการช่วยเหลือต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ SME และรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเมื่อเร็วๆ นี้ ในขณะเดียวกัน เราได้ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ผ่านการเปิดตัวสินเชื่อ Krungsri SME Transition Loan ในช่วงต้นไตรมาสที่สามของปีนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SME ในการเปลี่ยนผ่านสู่เส้นทางการลดการปล่อยคาร์บอนอย่างมีประสิทธิภาพ”
นายเคนอิจิให้ความเห็นเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจว่า "เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 4/2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น การเติบโตอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว และการเร่งตัวของการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม การเติบโตของเศรษฐกิจอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงในเชิงลบ ได้แก่ ผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม การแข็งค่าของเงินบาท และอุปสรรคเชิงโครงสร้าง อาทิ หนี้ครัวเรือนและความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิต จากแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจดังกล่าวข้างต้น กรุงศรียังคงคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2567 ที่ 2.4%”
ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.93 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.90 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.72 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 318.77 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 18.94% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของคิดเป็น 14.75%