กลุ่มอลิอันซ์ได้เผยรายงานวิเคราะห์เศรษฐกิจโลกสำหรับปี 2567-2569 โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตเฉลี่ย 2.8% ต่อปี ซึ่งถือว่าปานกลางแต่มั่นคงท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงหลากหลายที่ยังคงมีอยู่ ทั้งนี้ การเติบโตของสหรัฐอเมริกาจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในปี 2567 แต่มีความเป็นไปได้ที่อาจเกิดภาวะถดถอย ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจยุโรปคาดว่า จะโตช้าลงจากนโยบายรัดเข็มขัดและการเพิ่มภาษี การควบคุมเงินเฟ้อที่คาดว่าจะชะลอตัวลง จะช่วยให้ธนาคารกลางผ่อนปรนมาตรการการเงิน กระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และรัสเซียกับยูเครน ยังคงสร้างความกังวลให้นักลงทุน
เอเชียแปซิฟิก การเติบโตและความท้าทาย
เศรษฐกิจจีนปี 2567 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 5% ท่ามกลางความท้าทายจากภาคอสังหาริมทรัพย์และอุปสงค์ภายในประเทศ แม้ภาคการส่งออกยังคงแข็งแกร่งสนับสนุนการผลิตในประเทศ ด้านธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2568 เพื่อช่วยบรรเทาการชะลอตัวของเศรษฐกิจ สำหรับเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิกโดยรวมคาดว่าจะเติบโต 4.2% ในปี 2567 โดยได้รับอิทธิพลจากเศรษฐกิจอินเดียและกลุ่มประเทศอาเซียนที่ยังขยายตัวดี ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการค้าโลกที่ฟื้นตัว ขณะที่ธนาคารกลางในภูมิภาคมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินตามอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มลดลง
การเปลี่ยนแปลงในด้านโลกาภิวัตน์และการปรับปรุงนโยบายจะเสริมสร้างเศรษฐกิจเอเชีย เช่น ประเทศไทย เวียดนาม และไต้หวันที่ได้รับผลบวกจากอุปสงค์ภาคส่งออกในตลาดสหรัฐฯ และการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอันเนื่องจากการกระจายห่วงโซ่อุปทาน
ปัจจัยเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจ
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงความขัดแย้งในทะเลจีนใต้และไต้หวัน ยังคงเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ แม้จะมีความท้าทายเหล่านี้ ภูมิภาคเอเชียยังคงเป็นแหล่งทำธุรกิจที่โดดเด่นในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐาน และทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะสิงคโปร์และจีนที่มีจุดแข็งในด้านความสะดวกในการทำธุรกิจ ขณะที่ยังมีปัญหาด้านแรงงานและทรัพย์สินทางปัญญาที่ต้องได้รับการแก้ไข
ประเทศไทย แนวโน้มเศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง
ประเทศไทยคาดว่าจะเติบโตที่ 2.7% ในปี 2567 และเพิ่มเป็น 3.1% ในปี 2568 โดยได้แรงหนุนจากความต้องการในประเทศที่ฟื้นตัว กิจกรรมภาคบริการและการท่องเที่ยวที่กลับสู่ระดับก่อนโควิด ธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงผ่อนปรนนโยบายการเงินภายใต้เงื่อนไขอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ แต่ยังต้องพิจารณาด้านวินัยการคลังเพื่อรักษาเสถียรภาพระยะยาว
อย่างไรก็ดี ความท้าทายทางการเงินของไทยยังคงอยู่ โดยสินทรัพย์ทางการเงินรวมลดลง 1.9% ในปี 2566 เนื่องจากการลดลงของหลักทรัพย์และเงินฝากธนาคาร แม้สินทรัพย์ในภาคประกันและบำนาญจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ประเทศไทยยังคงมีหนี้สินสูงถึง 91% ของจีดีพีซึ่งถือว่ามากที่สุดในภูมิภาค ทั้งนี้ ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันของทรัพย์สินในประเทศยังคงเด่นชัด โดยกลุ่มผู้มีทรัพย์สินเพียง 10% เป็นเจ้าของสินทรัพย์สุทธิถึง 76% ของประเทศ
นายลูโดวิค เซอร์บราน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกลุ่มอลิอันซ์ กล่าวถึงการคาดการณ์ของกลุ่มว่า “การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะเป็นไปอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางความเสี่ยงและความท้าทายที่ยังคงมีอยู่ ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ วินัยทางการเงิน และความไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องได้รับการจัดการเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน”