สิ่งที่น่าสนใจภายหลังการเข้ามาบริหาร บริษัท บิสโตร เอเชีย จำกัด ในเครือ ไทยเบฟ ที่ประกอบไปด้วย 6 แบรนด์ ได้แก่ บ้านสุริยาศัย, ไฮด์ แอนด์ ซีค, หม่าน ฟู่ หยวน, โซ อาเซียน, แวนเทจ พอยท์ และ ฟู้ด สตรีท ในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัท ไพศาล อ่าวสถาพร ก็คือ เขาสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมายให้กับร้านอาหารในเครือไทยเบฟ หนึ่งในนั้นก็คือสามารถ พลิกฟื้นผลประกอบการจากการขาดทุนอย่างต่อเนื่องมาสู่การสร้างผลกำไรให้กับบริษัทได้สำเร็จ
ที่น่าจับตามองก็คือ การรุกตลาดครั้งใหญ่ในปีนี้ที่มีการควักเงินลงทุน ประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อนำร้านอาหารในเครือ 5 แบรนด์ คือ แวนเทจ พ้อยท์, ไฮด์ แอนด์ ซีค, บ้านสุริยาศัย, หม่าน ฟู่ หย่วน และ ฟู้ด สตรีท ที่เป็นแบรนด์ฟู้ด คอร์ท ในเครือ เข้าไปเปิดในโครงการ One Bangkok
ไพศาล บอกกับเราว่า ถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ของบิสโตร เอเชีย ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ที่น่าสนใจ เพราะนอกจากจะเป็นการนำแบรนด์ร้านอาหารในเครือเข้าไปเปิดในโครงการขนาดใหญ่ที่เป็นมากกว่าโครงการมิกซ์ยูสธรรมดา แต่คือการสร้างเมืองๆ หนึ่งที่ครบวงจร สามารถดึงดูดคนได้รอบทิศทาง
การเป็นโครงการระดับโลกนี้ทำให้แต่ละแบรนด์อยากจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ แน่นอนว่า นอกจากโอกาสทางการตลาดแล้ว ยังได้ในแง่ของอะแวร์เนสให้กับแบรนด์ร้านอาหารของเรา ทำให้ต้องมีการเติมเต็มอะไรใหม่ๆ เข้าไปมากขึ้น อย่างการเติมร้านอาหารสตรีทฟู้ดชื่อดังร้านใหม่ๆ รวมถึงร้านที่ได้มิชลินเข้าไปในฟู้ด สตรีท หรือการเน้นในเรื่องของความเป็นมิชลินสไตล์กว้างตุ้ง ของร้านหม่าน ฟู่ หยวน เป็นต้น
“นอกจาก 5 แบรนด์ที่ว่าแล้ว ยังมีการเปิดตัวร้านอาหารแบรนด์ใหม่ เป็นร้านอาหารแนวใหม่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่อีกแบรนด์ที่ยังไม่เคยเปิดตัว เข้ามาเปิดในโครงการนี้ด้วย ซึ่งทั้งหมดจะมาในคอนเซปต์ใหม่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ โดยจะมีการเชื่อมโยงการทำตลาดทั้งหมดเข้าด้วยกันผ่านตัวแอปพลิเคชันของเครือไทยเบฟที่จะมีทั้งเรื่องของการมอบสิทธิประโยชน์และการเข้าถึงดาต้า เพื่อทำให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น”
ทั้ง 5 แบรนด์ที่จะเข้าไปเปิดในโครงการ One Bangkok นี้ ถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ของบิสโตร เอเชีย ที่ถูกมองว่า จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของผลประกอบการ หลังจากที่ในช่วง 2 ไตรมาสของปีนี้ บิสโตร เอเชียมีการเติบโตของยอดขายในภาพรวมที่ 11% ขณะที่ Same Store Sale จะมีตัวเลขการเติบโตอยู่ที่ 9%
ผู้บริหารของบิสโตร เอเชีย บอกว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมานั้น มาจากกลยุทธ์หลักๆ ทั้งในเรื่องของ NPD หรือ New Product ที่มีการออก เมนูอาหารใหม่เพื่อดึงคนเข้าร้านให้มากขึ้น โดยเฉพาะกับการสร้างโอกาสในการขายด้วยการดูอินไซต์และไลฟ์สไตล์ของ ลูกค้าเพื่อนำมาพัฒนาเป็นเมนูใหม่ๆ ให้ตรงกับความต้องการในแต่ละช่วงเวลาการทำการตลาดที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้แบบตรงจุดนั้น สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญก็คือ ต้องเข้าใจเทรนด์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นกับตลาด แล้วจับเทรนด์เหล่านั้นให้ได้ พร้อมกับนำมาต่อยอดในการทำตลาด เพื่อให้สามารถเข้าถึงสิ่งที่เปลี่ยนไปทั้งในเรื่องของตลาด และพฤติกรรมของลูกค้า
โดยเขามองว่า Solo Economy ถือเป็นเทรนด์ที่น่าจับตามองสำหรับคนทำตลาดร้านอาหารในบ้านเรา เพราะกลายเป็นกลุ่มก้อนของลูกค้าที่มีทิศทางขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยสำคัญจะมาจากทั้งเรื่องของเศรษฐกิจ สภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ขนาดครอบครัวเล็กลง รวมถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต โดยเฉพาะกับคนที่เป็น Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้ามามีบทบาทต่อโลกการตลาดในปัจจุบันนี้
“Solo Economy ก็คือ ผู้บริโภคยุคใหม่เลือกที่จะอยู่คนเดียวมากขึ้น หรืออยู่เป็นคู่แบบไม่มีลูก หรืออาจจะมีลูกแค่ 1 คนนั้น ถือเป็นเทรนด์ที่กำลังขยายตัวทั่วโลก รวมถึงบ้านเราที่ถูกพูดถึงมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ทำให้สินค้าและบริการภายใต้แบรนด์ต่างๆ เริ่มมีการปรับกลยุทธ์เพื่อทำตลาดกับลูกค้ากลุ่มนี้ ที่ถูกมองว่ามีโอกาสทางการตลาดแฝงอยู่ในนั้นค่อนข้างสูง” ไพศาล กล่าว และเสริมว่า
คนทำร้านอาหารต้องเข้าใจว่าจะรับมือกับการเกิดขึ้นของ Solo Diner อย่างไรบ้าง ซึ่งคนเจนนี้จะปฏิสัมพันธ์กับคนไม่ดี ขณะเดียวกันก็ชอบที่จะปฏิสัมพันธ์กับดีไวซ์หรือเทคโนโลยี จึงต้องมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาให้บริการตั้งแต่ก่อนเข้าร้านไปจนถึงการใช้บริการเสร็จลุล่วง
เช่นเดียวกับต้องมีการปรับเลย์เอาท์ดีไซน์ของร้านใหม่ โดยจากนี้ไป ร้านอาหารอาจจะมีขนาดที่เล็กลง หรือมีที่นั่งไม่ต้องมากนัก รวมถึงการปรับเมนูที่เป็น Single Menu เพื่อรองรับลูกค้าที่มาใช้บริการคนเดียว
“นอกจากการดีไซน์ร้านที่ต้องเชื่อมโยงกับเรื่องของดีไวซ์หรือเทคโนโลยี เพื่อรองรับกับลูกค้ากลุ่ม Solo Diner แล้ว สิ่งที่ต้องมองอีกอย่างก็คือเรื่องของความต้องการที่มีหลากหลายออกไป อย่างในบ้านเรา นอกจากการมาร้านอาหารคนเดียวแล้ว คนกลุ่มนี้บางทีอาจจะต้องการเรื่องของ Socialize เหมือนกับที่ในต่างประเทศเริ่มมีการจัดวางโต๊ะออกมาคล้ายๆ กับการจัดโต๊ะในโรงอาหาร ที่เป็นการวางโต๊ะยาวๆ เพราะจะมีบางคนที่ต้องการพูดคุยกับลูกค้าคนอื่นๆ ที่มาคนเดียวเหมือนกับเขา”
การมาคนเดียวแต่เลือกที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างนี้ เริ่มมีให้เห็นในบ้านเราบ้างแล้ว อย่างที่ผ่านมาร้านอาหารในเครือ ไฮด์ แอนด์ ซีค สาขาสีลมเอจ ก็เคยมีการจับมือกับออร์แกไนเซอร์ เพื่อจัดงานอีเวนต์ที่เปิดให้คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาร่วมงาน และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
สิ่งที่เราเห็นตามมาก็คือ ตอนนี้ ร้านอาหารในเครือของบิสโตร เอเชีย เริ่มมีการทำเมนูที่เป็น Single Lunch Set อย่าง VANTAGE POINT ร้านบ้านสุริยาศัย และไฮด์ แอนด์ ซีค โดยการตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ จะมีการเชื่อมโยงการทำตลาดทั้งหมดเข้าด้วยกันผ่านแอปพลิเคชันของเครือไทยเบฟที่จะมีทั้งเรื่องของการมอบสิทธิประโยชน์และการเข้าถึงดาต้า ทำให้สามาถตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไพศาล มองว่า Solo Economy ในโลกตะวันตกกับทางฝั่งเอเชียที่รวมถึงบ้านเรา มีข้อแตกต่างกันบ้าง โดยคนในโลกตะวันออกอาจจะมีเรื่องของครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่แม้คนรุ่นใหม่ต้องการทำอะไรด้วยตัวคนเดียว และฉายเดี่ยว แต่คนเอเชียนั้นยังน่าจะมีเรื่องของครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
“สำหรับคนเอเชียหรือคนไทย แม้จะเป็น Solo Customer แต่ก็จะออกมาในลักษณะของ Me in We คือบางครั้ง อาจจะมีการแบ่งเวลาให้กับครอบครัวด้วยในโอกาสพิเศษๆ ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้มันถูกเชฟให้เห็นมากขึ้นหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่คนไทยเริ่มจะมีการแบ่งเวลาให้กับครอบครัว แม้จะมีการให้รางวัลกับตัวเองด้วยการไปทานอาหารดีๆ แต่ในบางโอกาสก็ไม่ลืมที่จะแบ่งเวลามาเฉลิมฉลองกับครอบครัวด้วย เพราะครอบครัวของคนเอเชียยังมีความเชื่อเรื่องศาสนา และความกตัญญูนั่นเอง”
ผู้บริหารของบิสโตร เอเชีย ขยายความคำว่า Me in We ให้ฟังอีกว่า คนรุ่นใหม่มีความต้องการทำอะไรด้วยตัวเอง หรือต้องการออกไปหาของอร่อยๆ ทาน เพื่อเฉลิมฉลองหรือให้รางวัลกับตัวเอง เพราะคนในเจนนี้ส่วนใหญ่ชอบที่จะมองเรื่องของการให้รางวัลกับตัวเอง ซึ่งเป็นเทรนด์ที่มาคู่กับคำว่า Solo Economy ที่คนพร้อมจะเปย์เพื่อให้รางวัลหรือดูแลตัวเอง เป็น Self Celebration ขณะเดียวกันก็ยังไม่ละเลยที่จะดูแลครอบครัวในฐานะสมาชิกที่ดีของครอบครัว
ทั้งหมดนั้น จะเข้ามาเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนตลาดร้านอาหารในบ้านเราที่ไม่ควรมองข้าม...
บทความจากนิตยสาร MarketPlus ฉบับที่ 169 กันยายน - ตุลาคม 202