เพลงดวงจันทร์กลางวัน (Aftermoon) by Getsunova x Violette Wautier เพลงเป็นไรไหม? by OG-ANIC feat.Lazyloxy เพลง Nobody Like You by เป๊ก ผลิตโชค x Hollaphonic เพลงบอกตัวเอง by Room39 feat.โป่ง หินเหล็กไฟ เพลง เอามั้ย by สิงโต นำโชค x ตู่ ภพธร เพลงนอนได้แล้ว (Sleep Now) by ฟักกลิ้ง ฮีโร่ x The TOYS เพลงภูเขาบังเส้นผม by Stamp x TWOPEE นี่คือรายชื่อเพลงใน Joox Top 100 ช่วงเดือนตุลาคม 2561 ครับ
หากคุณผู้อ่านสังเกตการทำเพลงในช่วงยุค 90 เป็นต้นมา จะพบว่าศิลปินหลายรายที่ร่วมกันผลิตผลงานดีๆ ออกมา และเมื่อเกิดความร่วมมือกันเพลงมักจะดังยิ่งขึ้นด้วยแนวคิดการทำเพลงแบบนี้มีมานานแล้ว ในยุคผมถ้านับว่าดังสุดก็ต้องยกให้พี่เบิร์ด ตั้งแต่อัลบั้มขนนกกับดอกไม้ทั้งยุคเดิม และยุค Secret Garden อัลบั้มเบิร์ดเสกที่ร่วมมือกันในขณะที่อยู่ในจุดพีคทั้งคู่ (ตอนนี้พี่เสกก็ยังพีคนะครับ)หรืออัลบั้มชุดรับแขกที่มียอดจำหน่ายเกิน 5 ล้านชุด และถูกจัดให้เป็นอันดับ 1 อัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาล และสูงที่สุดของประเทศไทยเนื่องจากมีเพลงฮิตสุดๆ อย่าง ‘แฟนจ๋า’ ที่พี่เบิร์ดมีแขกรับเชิญคือจินตหรา พูนลาภ นัท มีเรีย แคทรียา อิงลิช มาจนยุคปัจจุบันที่พี่เบิร์ดยังออกโปรเจกต์ Mini Marathon เป็นอัลบั้มที่ 17 ร่วมกับ Boom Boom Cash, Labanoon, Urboy TJ, Getsunova, Stamp, Polycat, Atom และ Big Ass ไม่แปลกใจเลยที่พี่เบิร์ดยังคงครองตำแหน่งศิลปินอันดับ 1 ของประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน ก็เพราะความสามารถของพี่เบิร์ด และทีมงานที่ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ Collaborative Marketing นี้เอง
Collaborative แปลว่า ทำด้วยความร่วมมือกันจากหลายคน หรือ หลายฝ่าย มีการช่วยเหลือกันจนงานสำเร็จตามวัตถุประสงค์ และที่สำคัญเมื่ออยู่ในบริบทของการตลาดมักจะดัง และปังมากขึ้นด้วย การที่เราเรียกกันว่า ‘Collaborative Marketing’ มีผู้ตีความว่าเป็นการตลาดที่ให้ ผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมด้วย แต่ในทางปฏิบัติแล้วยังมีความหมายถึงการร่วมมือกับผู้เกี่ยวข้องกับธุรกิจทั้งหมด (Stakeholders) ไม่ว่าจะเป็นผู้จำหน่ายปัจจัยการผลิต (Supplier) ช่องทางการจัดจำหน่าย (Distributor) พนักงานในบริษัท (Employee) ลูกค้า (Customer) หรือแม้แต่คู่แข่งก็ตาม (Competitor) สาเหตุที่ Collaborative Marketing ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ มาจาก
1. เราอยู่ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว (Rapid Change) ทำเองคนเดียวอาจไม่ทันการณ์
2. เราอยู่ในเศรษฐกิจที่ไม่ได้ดีแบบเดิมอีกต่อไป (New Normal) ไม่มีธุรกิจที่จะค่อยๆ เติบโต ไต่เต้า แบบเดิมๆ อีกแล้ว ทุกคนอยากประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วทั้งนั้น
3. เราอยู่ในยุคของการแสวงหาความคุ้มค่า (Value for Money) อะไรประหยัดได้ เซฟได้ต้องรีบทำ
4. เราอยู่ในยุคของการมีสิทธิ มีเสียงมากขึ้น โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ ทำให้แนวคิดต่างๆ เป็นที่เปิดเผยกันมากขึ้น การเป็น Open Source ทำให้ได้แนวคิดดีๆ มากมาย โดยเฉพาะได้จากผู้บริโภคของเราเอง
ตัวอย่างของ Luxury Brand กับ Street Brand ที่มีการร่วมมือกันในระดับโลกจนกลายเป็น Luxury Street Brand ที่เป็นที่หมายปองของคนทั่วโลกนั่นคือ Louis Vuitton x Supreme ผมเล่าให้ฟังเรื่อง Supreme เล็กน้อย แบรนด์นี้ก่อตั้งโดย James Jebbia ชายผู้ที่เคยทำงานอยู่ในร้านเสื้อผ้าแนวสตรีทที่นิวยอร์ก ก่อนจะมาเปิดร้านของตัวเองชื่อ Supreme ในปี 1994 โดยกลุ่มเป้าหมายหลักคือ คนที่เล่นสเกตบอร์ด จากนั้นก็เกิดกระแสการบอกต่อๆ กัน เรียกว่าถ้าเล่นสเกตบอร์ดแล้ว Supreme เป็นอีกหนึ่งไอเทมจำเป็นเลยทีเดียว Supreme เป็นแบรนด์ที่ทำ Collaboration กับแบรนด์ต่างๆ อยู่บ่อยครั้งเช่น Nike, Air Jordan, Levi’s, The North Face, Comme des Garçons และที่ฮือฮาสุดคือ Louis Vuitton นั่นเอง เพราะทำให้สามารถยกระดับแบรนด์ตัวเองขึ้นสู่จุดสูงสุดของความเป็น Luxury ได้อย่างแท้จริง ถ้าไม่พูดถึง Louis Vuitton ก็คงไม่ครบ Kim Jones ซึ่งเป็น Designer ของ Louis Vuitton เองก็ชื่นชอบ Sportswear เพราะเป็นกระแสของแนวการแต่งตัวในยุคนี้ อีกทั้งยังเอาเอกลักษณ์ของ Supreme มาใส่โมโนแกรม Louis Vuitton กลายเป็นการ Collaboration ระดับโลกที่แถวยาวสุดๆ ไปเลยครับ แล้วร้าน Supreme นี่ก็เล่นตัวมากๆ นะครับผมไป LA มาในช่วงที่เขาไม่มีคอลเลคชั่นใหม่ สรุปปิดร้านแบบเก๋ๆ ครับ หึหึหึ อยากได้ต้องรอคอลเลคชั่นหน้า
อ่านถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านหลายท่านอาจรู้สึกว่าอยากจะทำ Collaboration กับใครบ้างแล้ว ผมมีข้อเสนอแนะมาฝากครับ
การทำ Collaborative Marketing มีมานานแล้ว บ้างก็ประสบความสำเร็จ บ้างก็แยกย้ายกันไปตามทางของตน แต่หากต้องการประสบความสำเร็จลองพิจารณาดูถึงเนื้อแท้ของการร่วมมือกัน เพราะเพื่อนแท้ไม่ใช่แค่ Friends with benefits แต่ต้องคบกันแล้วดียิ่งๆ ขึ้นไป The language of friendship is not words but meanings. (Henry David Thoreau)