“ตลาด Luxury ไทยเติบโตที่มีมูลค่ากว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ คาดการณ์การเติบโตเฉลี่ย 6.15% ต่อปี จนถึงปี 2028 ซึ่งสูงกว่าตลาดในสิงคโปร์ สินค้า Luxury ในไทยเน้นกลุ่มแฟชั่นเป็นหลักเติบโตจากความต้องการในประเทศ และอิทธิพลของโซเชียลมีเดีย แม้ตลาดสินค้าหรูทั่วโลกชะลอตัว

แต่ไทยกลับเติบโตอย่างแข็งแกร่ง วัดได้จาก เม็ดเงินโฆษณาแบรนด์หรูต่างๆ ที่ Target ในไทยโตถึง 214% ในครึ่งปีแรกของปี 67 สูงที่สุดในเอเชีย* ซึ่งแบรนด์หรูระดับโลกหลายแบรนด์เริ่มหันมาใช้ KOLs ไทยในฐานะ Brand Ambassador สะท้อนอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะกับกลุ่ม Young Gen”

นั่นคือคำกล่าวของ ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัล ที่พูดไว้เมื่อคราวงานแถลงข่าวของศูนย์การค้าเซ็นทรัล ฟอเรสต้า ภูเก็ต เมื่อเร็วๆ นี้

คำกล่าวของผู้บริหารเซ็นทรัลพัฒนา สะท้อนให้เห็นถึงภาพการเติบโตของตลาดสินค้า Luxury ในบ้านเราได้เป็นอย่างดี โดยตลาดในไทย สามารถสร้างยอดขายเติบโตได้แซงหน้าฮ่องกง และสิงคโปร์ไปแล้ว จนทำให้ไทยมีการเติบโตติดอันดับต้นๆ ของโลก

สิ่งที่สะท้อนในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ก็คือ บรรดาแบรนด์ Luxury ต่างให้น้ำหนักในการทำตลาดในบ้านเรามากขึ้น โดยโฟกัสมาที่การทำตลาดกับลูกค้าคนไทยมากขึ้น ตัวอย่างที่ทำให้เห็นภาพนี้ได้อย่างชัดเจนนั้น ล่าสุด แบรนด์ระดับโลกอย่าง Dior ก็มีการเปิดแฟล็กชิป สโตร์ แห่งใหม่ ที่ลานมรกต บริเวณติดกับห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ชิดลม ซึ่งถือเป็นแฟล็กชิป สโตร์อีกแห่งของแบรนด์นี้

หลังจากมีการเปิดช้อปแบรนด์ของตัวเอง กระจายไปยังศูนย์การค้าต่างๆ ในบ้านเรา สอดคล้องกับ การปรับโฉมของเซ็นทรัล ชิดลม ที่มาในคอนเซปต์ของการเป็น ‘Store of Bangkok’ มีการเพิ่มไลน์สินค้าในกลุ่ม Luxury เข้ามา

โดยได้คัดสรรแบรนด์สินค้าลักซ์ชัวรีจากทั่วทุกมุมโลก อาทิ Beauty Galerie โฉมใหม่ที่หรูหราที่สุดในประเทศไทย รวมผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ความงามระดับโลกกว่า 150 แบรนด์ อาทิ Chanel, Dior, Gucci, Prada Beauty, Lamer ฯลฯ พร้อมโซนพิเศษที่รวบรวมแบรนด์สกินแคร์ออร์แกนิกระดับพรีเมียม ยังมีโซนน้ำหอมเฉพาะกลุ่ม (Niche Fragrances) รวมทั้งเอ็กซ์คลูซีฟ แบรนด์ที่จำหน่ายเฉพาะที่ห้างเซ็นทรัลชิดลมเท่านั้น เช่น Ausgustinus Bader, Officine Universelle Buly และ Valentino Beauty รวมถึงมี PRADA BEAUTY ที่เปิดให้บริการที่แรกที่ห้างเซ็นทรัลชิดลม

ส่วนโซนแฟชั่นมีการเติมแบรนด์ให้เลือกกว่า 500 แบรนด์ โดยโซนไฮไลต์อย่าง Luxe Galerie เป็นที่เดียวในประเทศไทยที่เป็นรูปแบบ Shop in Shop รวบรวมแบรนด์หรูระดับโลกมากมาย เช่น Bottega Veneta, Balenciaga, Burberry, Celine, Dolce & Gabbana, Emilio Pucci, Fendi, Gucci, Kenzo, Loewe, Louis Vuitton, Miu Miu, Missoni, Prada, Roger Vivier, Versace รวมถึงแบรนด์ที่กำลังจะเปิดให้บริการเดือนธันวาคมนี้ อย่าง Chanel

นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกในประเทศไทย กับโซน ‘Shoes Avenue’ ที่ให้ลูกค้าได้ลองและเลือกช้อปรองเท้าแบรนด์ลักซ์ชัวรีหลากหลายแบรนด์ ครบทุกสไตล์ในพื้นที่เดียว อาทิ Christian Louboutin, Cult Gia, Coperni, Jimmy Choo, Marni, Proenza Schouler, Sergio Rossi, Sophia Webster, Tory Burch, Tod’s และที่ชั้นนี้ยังมี The Bar ที่ “Christian Louboutin” เตรียมเทคโอเวอร์กลายเป็น  ‘Christian Louboutin Bar’ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในเอเชีย

การเปิดตัวของ ‘เซ็นทรัล ชิดลม’ โฉมใหม่ ที่เน้นวางตัวเองเป็นห้างสรรพสินค้า Luxury นั้น ถือเป็นการช่วยเติมเต็มการสร้างย่านช้อปปิ้งสินค้า Luxury ในบ้านเราให้มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยย่านช้อปปิ้งของสินค้ากลุ่มนี้ จะมีตั้งแต่ย่านสยามที่มีศูนย์การค้าสยามพารากอน ที่สามารถผลักดันตัวเองให้ก้าวขึ้นไปเป็นเดสติเนชั่นของการช้อปปิ้งสินค้า Luxury ระดับโลกไปแล้วในปัจจุบัน

เช่นเดียวกับการสร้างย่านช้อปปิ้งราชประสงค์ของเกษร พลาซ่า ที่ปัจจุบัน ทั้ง 3 ศูนย์ของผู้เล่นรายนี้ ต่างตอบโจทย์การเป็นศูนย์การค้า Luxury ได้อย่างเต็มรูปแบบ

ต่อด้วย ย่านชิดลม – เพลินจิต ที่มีทั้งห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ชิดลม แฟล็กชิฟสโตร์ของ Dior ที่เพิ่งเปิดตัวมาล่าสุด และศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี่

เลยไปถึงย่านสุขุมวิท พร้อมพงศ์ ที่กลุ่มเดอะมอลล์ เนรมิตรให้เป็นย่านช้อปปิ้งที่เรียกว่า ‘เอ็ม ดิสทริค’ ที่มีศูนย์การค้าอย่างเอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ และเอ็มสเฟียร์ เข้ามาเติมเต็มไลฟ์สไตล์การช้อปปิ้งและใช้ชีวิตแบบลักซ์ชัวรี

ข้ามไปที่ฝั่งธน จะมีศูนย์การค้า ดิไอคอน สยาม ที่มีแฟล็กชิป สโตร์ของแบรนด์ดังทั้ง LV และ แอร์เมส เป็นต้น เข้ามาเปิดเพื่อดึงดูดกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ถือเป็นการเติมเต็มการช้อปแบบ Luxury ให้มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น

สิ่งที่น่าสนใจก็คือการทำตลาดของแบรนด์ Luxury ในบ้านเราจะมีการจับมือกับเจ้าของศูนย์การค้าหรือห้างสรรพสินค้าเพื่อทำตลาดร่วมกัน ตัวอย่างในเรื่องนี้ก็คือการทำตลาดของสยามพารากอน และดิ ไอคอนสยาม ศูนย์การค้าในเครือของกลุ่มสยามพิวรรธน์ ที่มีการตั้ง Luxury Team ขึ้นมา เพื่อช่วยในการทำตลาด ทั้งในแง่ของแบรนด์และการทำตลาดโดยตรงกับลูกค้า

Luxury Team ที่ตั้งขึ้นมานี้จะแบ่งการทำงานออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกก็คือทีมที่ดูแลเรื่องของมาร์เก็ตติ้งที่จะทำงานร่วมกันกับ Luxury Brand  มีการ Co – Create เพื่อทำตลาดร่วมกัน โดยทีมมาร์เก็ตติ้งต้องมีการทำงานที่ใกล้ชิดกับแบรนด์  ต้องศึกษาแต่ละแบรนด์และเข้าใจว่าแต่ละแบรนด์เป็นแบบไหน ด้วยเหตุผลที่ว่าผู้บริหารศูนย์การค้าต้องรู้จักแต่ละแบรนด์ให้ลึกซึ้งว่าแต่ละแบรนด์มี DNA อย่างไร ต้องการกลุ่มลูกค้าแบบไหน โดยทีมมาร์เก็ตติ้งจะเข้าไปร่วมศึกษาแล้วเอาข้อมูลมาทำในแง่ Marketing Campaign หรือกิจกรรมร่วมกันเพื่อให้ตรงเป้าหมายที่เขาต้องการ

การทำงานร่วมกันดังกล่าว กลายเป็นที่มาของการสร้างสีสันในแต่ละช่วงเวลา อย่างการเปิด Pop Up Store เพื่อขาย สินค้าลิมิเต็ด คอลเลกชั่นพิเศษอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจ และตอบโจทย์การสร้างประสบการณ์เหนือความ คาดหมายให้กับลูกค้า หรือการจัด Exhibition เพื่อให้ลูกค้าเข้ามามีประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์โดยตรง เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้ กลายเป็นตัวช่วยเร่งให้ตลาดสินค้า Luxury ในบ้านเรา เติบโตแบบน่าสนใจ จนสามารถแซงหน้าประเทศเพื่อนบ้านขึ้นมายืนหนึ่งในฐานะเดสติเนชั่นของการช้อปปิ้งสินค้า Luxury ไปแล้วในปัจจุบันนี้....