ความน่าสนใจของตลาดสุกี้ในประเทศไทยที่ในปี 2567 ที่ผ่านมา มีมูลค่าประมาณ 23,000-25,000 ล้านบาทนั้น น่าจะอยู่ที่ การเข้ามาแจ้งเกิดของแบรนด์น้องใหม่ทั้งสุกี้ตี๋น้อย และลัคกี้ สุกี้ ที่ใช้เวลาไม่นานนักก็สามารถผลักดันยอดขายให้มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด

โดย สุกี้ตี๋น้อย สามารถทำยอดขายได้ทะลุหลักเกิน 5 พันล้านบาทไปแล้ว ขณะที่ ลัคกี้ สุกี้ ก็ไม่น้อยหน้า ใช้เวลาเพียงแค่ 3 ปี ก็ไต่ระดับมาสู่การทำยอดขายทะลุหลัก 1 พันล้านบาท ในปีที่ผ่านมา พร้อมเดินหน้าเติบโตแบบก้าวกระโดดด้วยการวางเป้าหมายในการทำยอดขายเพิ่มขึ้นแบบ 100% เต็ม หรือมียอดขาย 2 พันล้านบาท ในปี 2568 นี้

1. การเลือกทำเลที่ตั้ง

โลเคชันในการรองรับลูกค้า ทั้งสุกี้ ตี๋น้อย และลัคกี้ สุกี้จะเลือกโลเคชันในโซนชานเมืองที่มีประชากรหนาแน่น สามารถเข้าถึงได้ง่าย และส่วนใหญ่จะเลือกเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ การเลือกแบบนี้ถือเป็นการตอบโจทย์ทั้งตัวแบรนด์และพฤติกรรมของลูกค้า ด้วยพฤติกรรมคนเมืองจะไม่ค่อยชอบรอคิว การขยับมาเป็นชานเมืองทำให้สามารถแก้โจทย์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ดึงดูดลูกค้าได้ทั้งโซนในเมืองและชานเมือง

ขณะที่ ด้วยเหตุผลของการที่ลัคกี้ สุกี้ ยังเป็นแบรนด์น้องใหม่การเลือกทำเลที่ตั้งร้านในที่ที่เป็นคอมมูนิตี้มอลล์สามารถเพิ่มการรับรู้ให้แก่แบรนด์มากขึ้น เพิ่มฐานลูกค้าที่ไม่ได้เจาะจงตั้งใจมากินแต่แค่มาเดินช้อปปิ้งเลือกซื้อสินค้าก็อาจจะผ่านตาและทำความรู้จักก่อนเข้ามาใช้บริการได้

2. ราคาที่สามารถจับต้องได้

โดยมีราคาต่อหัวเริ่มต้นอยู่ที่ 219-299 บาท เป็นราคาที่สามารถแข่งขันได้ เพราะตลาดบุฟเฟต์มีผู้เล่นที่หลากหลาย ราคาส่วนใหญ่ใกล้เคียงกันหรือเหมือนกันในหลายเจ้า ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกเยอะจึงเน้นความคุ้มค่าของเม็ดเงิน การเลือกเข้าใช้บริการที่ไหนคุ้มค่ากับเงินในราคานี้ ลูกค้าจะเกิดความคาดหวังสูงต่อตัวแบรนด์แน่นอน นอกจากนี้แบรนด์ยังมีการทำระบบสมาชิกที่ให้เบเนฟิตต่างๆ ผ่านระบบสมาชิกอีกด้วย ทำให้สามารถเพิ่มความถี่ในการเข้าใช้บริการของลูกค้าได้มากขึ้น

หากมองย้อนไปในอดีตที่ตลาดสุกี้ของบ้านเรานั้น การบริโภคอาหารประเภทนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้บริการในช่วง เวลาพิเศษที่เป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสต่างๆ อาทิ วันเกิดหรือวันรับปริญญา แม้ผู้นำตลาดอย่าง MK จะมีการทำให้การบริโภคสุกี้เป็นเรื่องที่ทำได้ทุกช่วงเวลา แต่ข้อจำกัดยังคงอยู่ที่เรื่องของราคาที่เข้าถึงได้ไม่ง่ายนักในกลุ่มลูกค้าระดับแมส

แต่เมื่อมีการทำให้อาหารประเภทสุกี้สามารถจับต้องได้ง่ายขึ้นผ่านกลยุทธ์การขายแบบบุฟเฟต์ที่มีราคาไม่สูงนัก ทำให้การบริโภคสุกี้เป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

ประกอบกับการเลือกขยายเวลาการเปิดให้บริการที่ยาวนานขึ้นมากกว่าช่วงเวลาของการเปิด - ปิด ของช้อปปิ้งมอลล์ในห้างที่ส่วนใหญ่จำกัดอยู่ที่ 22.00 น. ทำให้สามารถรองรับกลุ่มคนที่ทำงานในช่วงกลางคืนหรือเลิกงานดึกได้

ประกอบกับไลฟ์สไตล์การกินของคนรุ่นใหม่ ที่กินอาหารมากกว่า 3 มื้อในปัจจุบัน โดยเฉพาะมื้อดึก ก็ยิ่งเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้แบรนด์สุกี้น้องใหม่เหล่านี้ สามารถสร้างการเติบโตของยอดขายได้เป็นอย่างดี

3. คุณภาพและการบริการ

ที่เริ่มต้นด้วยการลองผิดลองถูกเพราะไม่เคยมีประสบการณ์ในธุรกิจอาหารมาก่อน ทำให้หัวใจหลักจะเน้นตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้พึงพอใจมากที่สุดและต้องคุ้มค่าเงินด้วย ที่ผ่านมาเศรษฐกิจและพฤติกรรมของผู้บริโภคมีการระมัดระวังมากขึ้น จึงมีการตั้งคำถามอยู่เสมอว่าจ่ายแล้วคุ้มมั้ย การรักษาคุณภาพของอาหารและการบริการให้ดีที่สุดคือสิ่งที่แบรนด์เสนอความคุ้มค่าให้กับผู้บริโภคที่มาเข้าใช้บริการให้เกิดความพึงพอใจสูงสุด

การรุกตลาดที่ต่อเนื่องทั้งในแง่ของการขยายสาขา และการแตกไลน์ร้านอาหารใหม่ๆ อย่างบาร์บีคิว เพื่อลงเล่นในตลาดร้านอาหารประเภทปิ้ง ย่าง ก็เป็นอีกปัจจัยที่เข้ามาช่วยสนับสนุนการเติบโตได้เป็นอย่างดี โดย รสรินทร์ ติยะวราพรรณ กรรมการบริหาร บริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด เจ้าของแบรนด์ลัคกี้ สุกี้ และลัคกี้ บาร์บีคิว บอกว่า ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดของตลาดสุกี้ในประเทศไทย ประกอบกับเศรษฐกิจที่ซบเซา ทำให้เห็นเทรนด์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป จาก YOLO (YOU ONLY LIVE ONCE) ไปสู่ YONO (YOU ONLY NEED ONE) นั่นเป็นโอกาสทางธุรกิจ

“แม้จะอยู่ในสงครามแดงเดือด เพราะผู้บริโภคจะต้องการในสิ่งที่ดีที่สุด คุ้มค่าที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของแบรนด์ ลัคกี้ และจากความสำเร็จตลอด 3 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์แล้วว่าลัคกี้มีวันนี้ได้ด้วยการตั้งต้นจากคำว่า “ลูกค้า” โดยในปี 2568 เรามีชาเลนจ์ที่สำคัญในการรักษาฐานลูกค้าเก่าให้รักเราเหมือนเดิม ในขณะที่ฐานลูกค้าใหม่ ก็ยังต้องเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา”

เธอบอกอีกว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา ลัคกี้ สุกี้เติบโตแบบก้าวกระโดด ปิดปีมียอดขายแตะหลัก 1,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้าที่มีให้อย่างต่อเนื่อง การรุกตลาดในปีนี้ จึงมีการใช้กลยุทธ์การตลาด ภายใต้ THEMATIC Campaign “รักเธอไม่มีหมด” โดยในความหมายของแคมเปญจะแบ่งเป็น 2 มุมมอง คือ การที่แบรนด์ลัคกี้มีความรัก ความเอาใจใส่ต่อลูกค้า พร้อมที่จะพัฒนาทุกมิติของการให้บริการอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อประสบการณ์การรับประทานอาหารที่มากกว่า และอีกมุมมองจากลูกค้าที่เป็น แฟนด้อม ของลัคกี้ ที่มอบความรัก ความไว้ใจ มาใช้บริการกับเรา และสนับสนุนเรามาโดยตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

“เราตั้งเป้าที่จะขยายสาขาภายใต้แบรนด์ลัคกี้ให้ได้มากที่สุด จากเดิมที่มีอยู่ 20 สาขา แบ่งเป็น ลัคกี้ สุกี้ 15 สาขา ลัคกี้ บาร์บีคิว 5 สาขา ซึ่งทุกๆ สาขาที่เปิดใหม่จะเป็นโลเคชั่นทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ที่มีศักยภาพและต้องเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็น Real Target ได้อย่างทั่วถึง รวมถึงต้องตอบโจทย์ในแง่โอกาสทางธุรกิจและพาร์ทเนอร์ เพื่อสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นให้ได้อีก 100% ภายในปี 2568”

แน่นอนว่า การเติบโตของทั้งสุกี้ตี๋น้อย และลัคกี้ สุกี้ ถือเป็นแรงกดดันสำคัญ ที่ทำให้สุกี้ MK ต้องหันมาปรับกลยุทธ์เพื่อรุกตลาดขนานใหญ่ โดยในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา MK Restaurants ใช้กลยุทธ์ขโมยซีน เพื่อช่วงชิงพื้นที่บนโซเชียลมีเดียในช่วงเทศกาลตรุษจีน จนเกิดเป็นกระแสไวรัลชั่วข้ามคืน จากข้อมูลบน Social Listening ที่มีการพูดถึงแบรนด์มากกว่า 500,000 Engagements

การสร้างกระแสผ่านกลยุทธ์ ‘มูเก็ตติ้ง’ ที่ทำออกมา มีเป้าหมายเพื่อมัดใจสายมูทุก Gen ทั้งครอบครัว ด้วยการเล่นใหญ่เปลี่ยนชื่อเฉพาะกิจแค่ช่วงเทศกาลตรุษจีน ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 39 ปี! จาก MK Restaurants กลายเป็น ‘MongKol’ Restaurants เนรมิต 4 สาขาให้มงคลสมมง คือ เซ็นทรัลพระราม 9, เซ็นทรัลพระราม 3, สามย่านมิตรทาวน์ และเซ็นทรัลเวสต์เกส ถึงวันที่ 2 ก.พ. นี้ เท่านั้น ทำให้ชื่อ MK Restaurants ที่ใครต่อใครคุ้นเคย สร้างความมงคลได้ใจคนไทยทั้งเทศกาลนี้ ถือเป็นวิธีเข้ามาขโมยใจผู้บริโภคได้อย่างถูกที่ถูกเวลา

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการครีเอท เมนูมงคลแจกฟรีสุดปั่น อย่าง “หมี่หยกยืนยาว” ตั้งแต่วันที่ 28 ม.ค. ที่ผ่านมา บะหมี่หยกขึ้นชื่อประจำร้านที่คราวนี้มาแบบยาวไม่ตัดเส้นถึง 99 เซนติเมตร! เสิร์ฟในจานยืดยาว ที่ทำเอาโลโก้ MK Restaurants บนจานถึงกับยืดตาม โดยเมนูมงคลนี้ทำมาเพื่ออยากอวยพรให้ทุกคนเฮงกันยาวๆ และแน่นอนว่าจานยาวขนาดนี้ ก็ต้องอยากชวนเพื่อน ชวนครอบครัวมาเฮงแบบยาวๆ ไปด้วยกัน สมเป็นร้านเพื่อครอบครัวที่แท้จริง (รับหมี่หยกยืนยาวฟรี เมื่อทานครบ 1,299 บาท)

นอกจากชื่อร้านที่มงคล มีเมนูมงคลยาวๆ อย่างหมี่หยกยืนยาวแล้ว แบรนด์ยังเสิร์ฟความมงคลไม่หยุดด้วย ‘เมนูมงคล’ มากมาย ทั้ง ชุดสุกี้โชคลาภมั่งมีมังกรมงคล เสิร์ฟวัตถุดิบคุณภาพ เสริมความเฮง เสมือนยกมังกรมาตั้งโต๊ะ เฉพาะทานที่ร้านเท่านั้น และ ชุดเซตของไหว้มงคล พร้อมส่งถึงบ้าน ที่มาพร้อม ฮู้เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยจากวัดเล่งเน่ยยี่ ให้ทุกครอบครัวได้อิ่มความ ‘มงคล’ กันได้ไม่หยุดตลอดช่วงตรุษจีน ต้องยอมรับว่า ถือเป็นปีที่ MK Restaurants สร้างรสชาติ ความคึกคักให้กับเทศกาลนี้ได้เป็นอย่างดี

ถือเป็นการฉีกฏการทำตลาดของแบรนด์ผู้นำอย่าง MK Restaurants ที่กล้าเล่นกับกระแสแบบไม่เคยมีมาก่อน เป็นการกระชากให้แบรนด์กลับมาอยู่ในกระแสอีกครั้ง เพราะจะว่าไปแล้ว ก่อนหน้าที่ทั้งสุกี้ตี๋น้อย และลัคกี้ สุกี้ จะเข้ามาในตลาดนี้ MK ถือเป็นผู้นำตลาดที่แข็งแกร่ง และไม่มีคู่แข่งรายไหน สามารถเขย่าบัลลังก์ของผู้นำตลาดรายนี้ได้

แต่เมื่อทั้ง 2 แบรนด์ เข้ามาด้วยจุดขาย และรูปแบบการทำตลาดที่แตกต่าง โดยเฉพาะการนำรูปแบบการขายแบบบุฟเฟต์ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำตลาด จนทำให้การเข้าถึงร้านอาหารประเภทสุกี้ทำได้ง่ายขึ้นในราคาที่ไม่สูงนัก จนสามารถดึงคนรุ่นใหม่ๆ เข้ามาใช้บริการได้เป็นจำนวนมาก

ทั้งหมดนั้น เชื่อว่า หลังจากนี้ เราคงได้เห็นการป้องกันแชมป์ที่เข้มข้นของ MK Restaurants ที่แม้ จะถูกมองว่า อยู่คนละเซ็กเม้นต์กัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ต้องมีการแข่งขันไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

นั่นคือเหตุว่า หลังจากนี้ เราคงได้เห็น MK Restaurants ลุกขึ้นมาทำแบรนด์ และพูดคุยกับคนรุ่นใหม่ๆ มากขึ้น...