เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ลงนามคำสั่งปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม 25% ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 4 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป มาตรการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กและอะลูมิเนียมภายในประเทศ โดยไม่มีข้อยกเว้นสำหรับประเทศใดๆ ทั้งสิ้น การตัดสินใจนี้จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยที่อาจได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม จากการปรับภาษีดังกล่าว
ผลกระทบทางตรงจากการส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมของไทย
จากข้อมูลในช่วงปี 2565-67 สหรัฐฯ เป็นตลาดใหญ่สำหรับการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากหลายประเทศ โดยแคนาดา, จีน และเม็กซิโก มีสัดส่วนการส่งออกสูงสุด โดยรวมแล้วประเทศเหล่านี้มีมูลค่านำเข้ามากถึง 5.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 48.1% ของการนำเข้าทั้งหมด ส่วนการนำเข้าจากไทยอยู่ในอันดับที่ 11 โดยมีมูลค่าปีละ 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 2% ของการนำเข้าทั้งหมด ซึ่งหากพิจารณาในแง่ของการส่งออกเหล็กไทยไปยังสหรัฐฯ จะพบว่ามีสัดส่วนสูงถึง 33.3% ของการส่งออกเหล็กทั้งหมดของไทย ดังนั้น การปรับขึ้นภาษีครั้งนี้จึงมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบทางตรงกับอุตสาหกรรมเหล็กของไทยมากกว่าอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม
ผลกระทบทางอ้อมจากการทะลักเข้ามาของเหล็กและอะลูมิเนียมจากประเทศอื่นๆ
อีกหนึ่งผลกระทบที่น่าจับตาคือการทะลักเข้ามาของเหล็กและอะลูมิเนียมจากจีน, ไต้หวัน และเวียดนาม ที่อาจมาแย่งส่วนแบ่งตลาดของไทยในตลาดต่างประเทศ หากประเทศผู้ส่งออกอื่นๆ ต้องการหาตลาดใหม่เพื่อทดแทนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เช่นเดียวกับการคาดการณ์ว่าเหล็กและอะลูมิเนียมจากจีน ไต้หวัน และเวียดนามอาจเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดในประเทศไทยที่มีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 3-4%
ในกรณีนี้ ไทยอาจต้องเผชิญกับการแข่งขันในตลาดราคาถูกจากสินค้านำเข้าราคาถูกจากประเทศเหล่านี้ ซึ่งอาจทำให้ส่วนแบ่งตลาดของผู้ประกอบการไทยในตลาดต่างๆ เช่น ประเทศ CLMV ลดลง
ผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมเหล็ก
ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็กไทยมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบทั้งในด้านอัตราการใช้กำลังการผลิต (CAP-U) และความเสี่ยงด้านราคาสินค้า (Stock Loss) โดยเฉพาะในกลุ่มเหล็กที่มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกกดดันให้อยู่ในระดับต่ำจากการลดการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และการแข่งขันจากเหล็กนำเข้าราคาถูกจากจีน
ในปี 2568 คาดว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตในอุตสาหกรรมเหล็กไทยจะยังคงต่ำที่ 40-45% ซึ่งลดลงจากระดับ 50-60% ในอดีต โดยผู้ประกอบการต้องระมัดระวังความเสี่ยงด้าน Stock Loss เนื่องจากราคาสินค้าในตลาดเหล็กทั่วโลกมีแนวโน้มปรับลดลงจากการดัมพ์ราคาเพื่อระบายสินค้าของประเทศต่างๆ
การขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่ออุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมของไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการในกลุ่มเหล็กที่จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงทั้งจากการลดการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และการแข่งขันจากการทะลักเข้ามาของสินค้าราคาถูกจากประเทศคู่แข่ง ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงควรเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างรอบคอบ