เพียงไม่กี่วันหลังจากเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2017 ทรัมป์ลงนามในคำสั่งบริหารถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ซึ่งเป็นข้อตกลงการค้าระหว่าง 12 ประเทศที่รวมถึงสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงคำสัญญาของทรัมป์ในระหว่างการหาเสียงที่ว่า TPP เป็นข้อตกลงที่เอื้อประโยชน์ให้กับประเทศอื่นๆ มากกว่าสหรัฐฯ และทำให้เกิดภัยคุกคามต่ออุตสาหกรรมในประเทศของตัวเอง ทรัมป์ย้ำถึงการไม่สนับสนุนข้อตกลงการค้าพหุภาคีที่สหรัฐฯ อาจไม่ได้รับประโยชน์อย่างชัดเจน
การถอนตัวจาก TPP นั้นเป็นสัญญาณชัดเจนว่า ทรัมป์ไม่ต้องการข้อตกลงการค้าที่ไม่ตอบโจทย์สหรัฐฯ ซึ่งอาจมีผลต่อข้อตกลงอื่นๆ ในอนาคต เช่น IPEF (Indo-Pacific Economic Framework) ที่ไบเดนพยายามผลักดัน ซึ่งประเทศไทยได้เข้าร่วมแล้ว
การรื้อข้อตกลง NAFTA (North American Free Trade Agreement) ที่ทำให้การค้าระหว่างสหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโกมีเสรีภาพสูงสุดตั้งแต่ปี 1994 เป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญใน 100 วันแรกของทรัมป์ ที่มองว่า NAFTA ส่งผลให้การผลิตในสหรัฐฯ ลดลงและเกิดการย้ายฐานการผลิตไปยังเม็กซิโก ซึ่งทำให้แรงงานในประเทศตกงาน
แทนที่จะถอนตัวจาก NAFTA อย่างที่เคยขู่ ทรัมป์เลือกที่จะเจรจาข้อตกลงใหม่กับทั้งเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งกลายเป็นข้อตกลงใหม่ในชื่อ USMCA ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2020 ข้อตกลงนี้มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้น เช่น การจำกัดการใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศในรถยนต์ที่ผลิตในอเมริกาเหนือ และการเพิ่มค่าจ้างแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ของเม็กซิโก
แม้จะสำเร็จในการรื้อ NAFTA แต่ทรัมป์ยังคงเผชิญกับปัญหาการขาดดุลการค้ากับแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งในวาระที่สองเขายังคงมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหานี้ด้วยการเจรจาข้อตกลงใหม่หรือการขึ้นภาษีสินค้าจากประเทศเหล่านี้
เมื่อทรัมป์ได้ถอนและรื้อข้อตกลงการค้าเก่าๆ เขาก็เริ่มต้นการ "ซ่อมแซม" ระบบการค้าระหว่างประเทศโดยการขึ้นภาษีนำเข้า ซึ่งเป็นวิธีการที่เขาเชื่อว่าเป็นการแก้ปัญหาการค้าที่ยุติธรรม ทรัมป์ให้สัมภาษณ์หลายครั้งว่า การขึ้นภาษีนำเข้าเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาการค้าผิดปกติ
การขึ้นภาษีนี้ไม่สามารถทำได้ทันที แต่ต้องมีการสอบสวนหาหลักฐานก่อน ซึ่งในช่วง 100 วันแรกของการบริหาร ทรัมป์ได้เริ่มการสอบสวนการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาจากจีน และการนำเข้าสินค้าที่สหรัฐฯ สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะสินค้าจากจีน เช่น เหล็กและอะลูมิเนียม การสอบสวนเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การขึ้นภาษีนำเข้าในปี 2018 และการทำสงครามการค้ากับจีน
ช่วง 100 วันแรกของทรัมป์ 1.0 เป็นช่วงเวลาในการปูพื้นฐานนโยบายการค้าที่จะส่งผลในระยะยาว โดยผ่านการถอน-รื้อ-ซ่อมข้อตกลงการค้าที่มีอยู่ และเป็นการวางรากฐานที่ทำให้รัฐบาลทรัมป์สามารถดำเนินนโยบายการค้าได้อย่างมั่นคงในระยะยาว ทรัมป์ 2.0 จะมีอำนาจทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นและสามารถดำเนินนโยบายการค้าได้รวดเร็วขึ้น เนื่องจากประสบการณ์ทางการเมืองที่มากขึ้นและเครือข่ายที่กว้างขวาง
คำถามที่สำคัญไม่ใช่แค่การดำเนินนโยบาย แต่คือ ทรัมป์จะเลือกทำอะไรเพื่อให้สหรัฐฯ ก้าวสู่ "ยุคทอง" ที่เขาเคยหาเสียงไว้ และเราน่าจะได้เห็นทิศทางที่ชัดเจนขึ้นใน 100 วันแรกของทรัมป์ 2.0.