เอสซีจี ประกาศเดินหน้า 2 กลยุทธ์ปี 2562 เน้นสร้างเสถียรภาพทางการเงินและบริหารจัดการความเติบโตของธุรกิจในระยะยาว โดยการส่งมอบโซลูชั่นครบวงจรและโมเดลธุรกิจใหม่ที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ ด้วยการสร้างความร่วมมือกับสตาร์ทอัพชั้นนำในหลากหลายภูมิภาคและสถาบันวิจัยทั่วโลก พร้อมเร่งสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์ตรงใจลูกค้าทั่วภูมิภาค
รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี (SCG) เปิดเผยถึง 2 กลยุทธ์ปี 2562 ว่าประกอบด้วย
1. การสร้างเสถียรภาพทางการเงิน (Stability) ทั้งนี้ กลยุทธ์นี้ SCG ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและทันท่วงที เพื่อรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ SCG ,uความสามารถในการทำกำไรในปี 2561 ถึง 9% ซึ่งถือว่าแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับผลประกอบการของอุตสาหกรรมโดยรวม อีกทั้งฐานะทางการเงินยังคงแข็งแกร่งเช่นกัน โดยมีสัดส่วน Net Debt to EBITDA (อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA) อยู่ที่ 1.7 เท่า ขณะที่เงินกู้เกือบทั้งหมดเป็นเงินบาทและเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่กว่า 90% ส่วนกระแสเงินสดมีเสถียรภาพจากผลการดำเนินงานของธุรกิจหลักที่มั่นคง
2. การบริหารจัดการความเติบโตของธุรกิจในระยะยาว (Long-Term Growth) โดยจากเดิมที่โฟกัสกับการพัฒนานวัตกรรมสินค้า/บริการที่มีมูลค่าเพิ่ม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างการเติบโตให้ธุรกิจอย่างยั่งยืนแล้ว ปีนี้เอสซีจีโฟหัสหับการส่งมอบโซลูชั่น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้แบบเบ็ดเสร็จ ครบครันยิ่งขึ้น (Total Solution) กับธุรกิจต่างๆ ของ SCG ดังนี้
- ธุรกิจเคมิคอลส์ เช่น การให้บริการสารเคลือบเตาเผาเพื่อประหยัดพลังงานสำหรับอุตสาหกรรม การให้บริการโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำสำหรับผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ตั้งแต่การออกแบบพื้นที่ ติดตั้ง และบริการหลังการขาย
- ธุรกิจแพคเกจจิ้ง โดยมุ่งเป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจร พร้อมขับเคลื่อนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เช่น การให้บริการออกแบบบรรจุภัณฑ์ร่วมกับลูกค้า กระทั่งการจัดเก็บบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วกลับมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตซ้ำอีกครั้ง
- ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เช่น โซลูชั่นการก่อสร้างที่ผนวกความเชี่ยวชาญด้านการผลิตสินค้าคุณภาพสูง พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยมาพัฒนาเป็น 9 โซลูชั่นหลัก เช่น Life-time Solution ที่ให้บริการสำรวจความเสียหายโครงสร้างอาคารด้วยอุปกรณ์ทางวิศวกรรมที่แม่นยำ ก่อนออกแบบวิธีการ ดำเนินการต่อเติม และเสริมกำลังโครงสร้างให้เบ็ดเสร็จ
นอกจากนี้ SCG ยังมุ่งให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันให้ทันความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนี้
- การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AI เพื่อช่วยวิเคราะห์ข้อมูล Real Demand ของลูกค้า, Blockchain ระบบดิจิทัลที่เชื่อมโยงกับสถาบันการเงินและคู่ค้าโดยอัตโนมัติ ให้สามารถแบ่งปันข้อมูลระหว่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ, การพัฒนา Robotic Process Automation (RPA) และการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning) ที่ช่วยแก้ปัญหาที่ซับซ้อนของระบบการผลิต ให้สินค้าผลิตออกมาอย่างมีคุณภาพและทันความต้องการของตลาด
- การลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Technology) ที่ตอบโจทย์เทรนด์อนาคต เช่น New Advanced Materials, Clean Technology เพื่อพัฒนากระบวนการผลิตตลอดโซ่คุณค่าให้มีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนได้มากขึ้น และเป็นแนวทางไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 ด้วยการมุ่งพัฒนาศักยภาพพนักงานภายใน อาทิ การสร้างบรรยากาศการทำงานที่ผสานการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง (Agile Organization) การส่งเสริมกระบวนการคิดเพื่อออกแบบสินค้าและบริการด้วย Design Thinking การส่งเสริมการทำงานแบบสตาร์ทอัพ เพื่อช่วยให้เข้าใจปัญหาของลูกค้าอย่างลึกซึ้งและรวดเร็ว ผ่านโครงการ “Internal Startup” ซึ่งช่วยพัฒนาผู้มีแนวคิดในการแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าและธุรกิจที่มีกว่า 100 ทีม ให้สามารถพัฒนาโมเดลธุรกิจให้ตรงความต้องการของตลาดได้แล้วกว่า 40 ทีม เช่น การทำแพลทฟอร์มรวบรวมกล่องอาหารเดลิเวอรี่พร้อมบริการสั่งทำโลโก้ที่เหมาะกับทุกรูปแบบธุรกิจ หรือระบบบริหารลูกค้าและติดตามการขายสำหรับร้านวัสดุก่อสร้าง
- การสร้างความร่วมมือกับภายนอกทั้งการลงทุนกับสตาร์ทอัพชั้นนำในภูมิภาคต่างๆ ที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมสอดคล้องกับ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ผ่าน “AddVentures” พร้อมเข้าไปเสริมศักยภาพให้สตาร์ทอัพที่ลงทุนไปแล้ว ทั้งการลงทุนโดยตรงในสตาร์ทอัพ 10 ราย เช่น แพลทฟอร์มที่ช่วยค้นหาบุคลากรที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีเพื่อมาต่อยอดธุรกิจด้านดิจิทัล หรือบริษัทพัฒนาหุ่นยนต์ที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดจนการลงทุนผ่านกองทุนที่ลงทุนในสตาร์ทอัพต่างๆ รวมถึงการต่อยอดโครงการร่วมมือเชิงพาณิชย์กับบริษัทด้านเทคโนโลยีเกือบ 100 โครงการ เพื่อนำนวัตกรรมของสตาร์ทอัพเหล่านั้นมาต่อยอดกับธุรกิจหลักหรือสร้างเป็นธุรกิจใหม่ของ SCG และการร่วมมือกับสถาบันวิจัยและพัฒนา (R&D) ทั่วโลก โดยมี Open Innovation Center เป็นศูนย์กลางให้เกิดเครือข่ายการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ เพื่อสร้างการเติบโตให้ธุรกิจในระยะยาว SCG ยังมุ่งขยายโอกาสส่งออกนวัตกรรมสินค้า/บริการตามทิศทางตลาดโลก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เร่งเดินหน้าโครงการลงทุนที่จะช่วยสร้างการเติบโตให้ธุรกิจได้ในอนาคต ทั้งตลาดอาเซียนที่ขยายตัวต่อเนื่อง ตลอดจนตลาดใหม่ที่มีศักยภาพและเติบโตรวดเร็ว เช่นการส่งออกสินค้า เคมีภัณฑ์ไปยังตลาดจีน และการรุกธุรกิจค้าปลีกและโลจิสติกส์ในภูมิภาคต่างๆ ด้วย
[อ่าน 2,316]