ท่ามกลางการแข่งขันทางการค้าที่ทวีความรุนแรง ค้าปลีกไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม สินค้านำเข้าราคาถูกทะลักเข้าสู่ตลาดไทยโดยขาดการควบคุม ขณะที่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามชาติเข้าครองส่วนแบ่งตลาดโดยอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะรายย่อย ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นแต่กลับต้องแข่งขันกับสินค้าราคาต่ำที่ไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง หากไม่เร่งแก้ไขปัญหานี้ ค้าปลีกไทยอาจถูกบีบให้สูญเสียพื้นที่ทางเศรษฐกิจอย่างถาวร
ณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า
"สินค้าต่างชาติเข้าตีตลาดไทยอย่างรวดเร็ว และอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะรายย่อยและธุรกิจท้องถิ่น ได้รับผลกระทบหนักจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม โดยปัญหาหลักประกอบด้วย สินค้านำเข้าราคาต่ำ ที่ไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ทำให้ธุรกิจไทยแข่งขันลำบาก การใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย เปิดทางให้มีการใช้ "นอมินี" ดำเนินธุรกิจสีเทา การทำตลาดแบบ B2C ของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามชาติ ซึ่งกฎหมายไทยยังควบคุมได้ไม่ทั่วถึง ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยเสียส่วนแบ่งตลาดและหลายธุรกิจต้องปิดตัวลง
ผลกระทบไม่ได้จำกัดเพียงผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่มีกว่า 3.3 ล้านราย โดยเป็นภาคค้าปลีกและบริการถึง 2.8 ล้านรายหรือเกือบ 90% แต่ผู้บริโภคไทยก็กำลังตกอยู่ในความเสี่ยง เช่นกันเนื่องจากสินค้านำเข้าหลายรายการไม่มีมาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัย อาทิ
เครื่องใช้ไฟฟ้าเครื่องสำอาง และ สินค้าไม่ได้มาตรฐานคุณภาพ หรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีฉลากภาษาไทย ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายให้ธุรกิจไทย แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค หากปล่อยให้สถานการณ์นี้ดำเนินต่อไป ไม่เพียงแต่ธุรกิจค้าปลีกไทยจะถูกบีบให้ลดขนาดหรือปิดตัวลง แต่ยังอาจกระทบเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ” ณัฐ กล่าว
สมาคมผู้ค้าปลีกไทยจึงขอเสนอแนะ 3 แนวทางเร่งด่วน เพื่อสร้างสมดุลทางการแข่งขันและปกป้องเศรษฐกิจไทย ดังนี้
สมาคมผู้ค้าปลีกไทยเชื่อว่าการปรับปรุงมาตรการทางการค้าและการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันอย่างเป็นธรรม จะช่วยเสริมสร้างความยั่งยืนให้กับภาคค้าปลีก ปกป้องผู้บริโภค และส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว