ทีเอ็มบี หรือธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) จัดงาน TMB The Economic Insight 2019 “เจาะลึกเศรษฐกิจไทยพร้อมตั้งรับ EEC ในยุคดิจิทัล” เพื่อให้บริการด้านข้อมูลเชิงเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์แก่ลูกค้าธุรกิจ จำนวน 400 ราย โดยเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน
เสนธิป ศรีไพพรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบี กล่าวว่า “ทีเอ็มบี มุ่งมั่นพัฒนาการให้บริการที่มีคุณภาพและคุณค่าแก่ลูกค้าธุรกิจอยู่เสมอ ด้วยเชื่อมั่นว่าธุรกิจไทยคือรากฐานสู่อนาคตที่ยั่งยืนของประเทศ ทีเอ็มบี จึงมุ่งมั่นที่จะเป็นมากกว่าธนาคาร แต่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่จะช่วยส่งต่อความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและการเงินการธนาคารผ่านบทวิเคราะห์และคำแนะนำที่มีประโยชน์แก่ลูกค้าธุรกิจของเรา”
นริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี กล่าวว่า “สำหรับเศรษฐกิจไทยโดยรวม โครงการ EEC จะมีส่วนยกระดับการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 ได้อย่างยิ่ง จากข้อมูลจะเห็นได้ว่าโครงการ EEC ยังสามารถรองรับผู้ลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้เพิ่มอีกจำนวนมาก จากตัวเลขรายรับที่ผู้ลงทุนได้เก็บเกี่ยวจากการลงทุน ประกอบกับช่องทางการรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เพิ่มขึ้นอันจะยกระดับศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก โอกาสทองที่พร้อมให้ผลตอบแทนในระยะยาวแก่นักธุรกิจไทยจึงอยู่เพียงแค่เอื้อม”
ทีเอ็มบี ชี้ระบบเศรษฐกิจโลกในปี 2562 มีทีท่าชะลอตัวขนานใหญ่ โดยมีปัจจัยสำคัญคือ
ขณะที่เศรษฐกิจไทย ในปี 2562 จะขยายตัว ด้วยแรงผลักดันจากอุปสงค์ภายในประเทศเป็นหลัก อัตราการเติบโตในปีนี้อยู่ที่ 3.8% ลดลงจาก 4.0% ในปีก่อน เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนหลักคือการบริโภคภาคเอกชนที่สูงขึ้น
สำหรับการส่งออกในปีนี้ คาดว่าจะขยายตัว 4.3%YoY ลดลงจาก 6.7%YoY ในปี 2561 เนื่องด้วยผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวโดยเฉพาะจีน การที่ไทยถูกสหรัฐอเมริกาตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) และผลกระทบจากสงครามการค้าของจีนกับสหรัฐอเมริกาที่ยืดเยื้อ
ทั้งนี้ การส่งออกของไทยในปีนี้มีตลาดรองรับที่สำคัญ คือ CMLV (+9.0%), อาเซียน (+6.5%), ญี่ปุ่น (+5.5%), ยุโรป (+4.5%) และสหรัฐอเมริกา (+4.5%) ตามลำดับ มีสินค้าส่งออกที่โดดเด่น คือ ยานยนต์และชิ้นส่วน, สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์, เครื่องจักร, สินค้าอาหาร และสินค้าจากการเกษตร
จากสภาพเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศดังกล่าว ธุรกิจไทยยังคงมีโอกาสที่ดี โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมของประเทศที่มีศักยภาพ ด้วยอัตราค่าแรงที่ยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ (เมื่อเทียบกับ จีน มาเลเซีย และสิงคโปร์) และระดับความสะดวกในการประกอบธุรกิจที่ค่อนข้างสูง (Ease of doing business ranking ในปี 2561 ไทยอยู่อันดับ 26 ซึ่งสูงกว่า เวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน)
นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ประกอบการไทยจะปรับกลยุทธ์ เช่น มองหาตลาดส่งออกใหม่ๆ พัฒนาสินค้าให้มีนวัตกรรมสูงขึ้น สร้างความแตกต่างของสินค้า ใช้สิทธิประโยชน์จากมาตรการยกเว้นภาษีของหน่วยงานภาครัฐ อาทิ บีโอไอ และประเทศคู่ค้าอื่นๆ รวมถึงสร้างเครือข่ายการผลิตที่แข็งแกร่งกว่าเดิม
โดยโอกาสทองที่สำคัญอยู่ที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC: Eastern Economic Corridor) แผนยุทธศาสตร์ภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 อันเป็นโครงการพัฒนาเชิงพื้นที่ต่อยอดจาก Eastern Seaboard ซึ่งมุ่งพัฒนาศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมไทยให้แข็งแกร่งและสามารถค้ำจุนเศรษฐกิจโดยรวมได้ในระยะยาว ผ่านการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นสูง โดยโอกาสทางธุรกิจอันดีมี 2 ส่วน ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และด้านการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย
นอกจากนี้ยังมีอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่สามารถเติมเต็มพื้นที่โครงการ EEC ได้ เช่น อุตสาหกรรมพลาสติก และอุตสาหกรรมแฟชั่น ทั้งนี้ในช่วงปี 2559 จนถึงเดือนกันยายน ปี 2561 ได้มีโครงการการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ได้ยื่นขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอเป็นมูลค่ารวม 913 พันล้านบาท และกรอบระยะเวลาในช่วงปี 2018-2023 การลงทุนผ่านบีโอไอในโครงการ EEC มีมูลค่ารวม 600 พันล้านบาท
โดยคาดว่ากลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายและกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ จะมีรายได้ 1 ล้านล้านบาท และ 2.83 ล้านล้านบาท ตามลำดับ โดยมีมาตรการส่งเสริมโครงการ EEC อาทิ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 13 ปี และลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50%