ร้อนมั้ยครับ? อากาศร้อนแบบนี้ กายร้อนได้ แต่ใจอย่าร้อนนะครับ ทำใจสบายๆ ไว้
เดือนนี้เป็นเดือนที่มีวันหยุดพิเศษมากมายผู้ประกอบการหลายท่านมองเห็นโอกาสในการเพิ่มยอดขายครับ เริ่มตั้งแต่หยุดยาวเรียกว่าท่านใดใจถึงกล้าๆ ลางานต่อเนื่องสัก 2-3 วัน อาจได้วันหยุดรวดเดียวหลายวันกันเลยทีเดียว (หลังจากลางาน กลับมาหัวหน้าอาจบอกให้ลาออกไปเลยก็ได้ อิอิ)
ในครั้งนี้ ผมมีกลยุทธ์ที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังเล่นๆ
พอคิดไปคิดมา เอ๊ะ แต่ละกลยุทธ์นี่ขึ้นต้นด้วยตัว E ทั้งนั้นเลย
เรียกได้ว่า E พวกนี้ กำลังมาแรงทีเดียว
เริ่มจาก E แรกเลย Ethical Marketing ในช่วงที่ผ่านมา มีข่าวของการทำธุรกิจที่ไม่โปร่งใส ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชน สถาบันการเงินหรือผู้ประกอบการ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ทุกสิ่งสามารถตรวจสอบได้หมด ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ตาม ดังนั้น การทำการตลาดแบบมีจริยธรรมจึงเป็นแนวคิดที่ผู้ประกอบการทุกท่านควรกลับมาตรวจสอบดูว่า ธุรกิจของเรามีความโปร่งใสหรือไม่ ดำเนินการอย่างมีจริยธรรมหรือไม่ ว่ากันต่อไปอาจลงลึกไปถึงการดำเนินธุรกิจแบบ White Ocean ดังที่ คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย ได้เคยแนะนำไว้ ผมว่าเป็นแนวคิดที่ดีนะครับที่เราจะคำนึงถึงสิ่งรอบข้างเราทั้งหมด ตั้งแต่ลูกน้อง ลูกค้า ซัพพลายเออร์ รวมถึงสังคมและโลกของเรา ดังแนวคิด 4P ได้แก่ People, Planet, Profit และ Passion หากทุกๆ บริษัทนำแนวคิดนี้มาปรับใช้ รับรองว่าสังคมต้องดีแน่นอน
E ที่สองที่อยากจะนำเสนอคือ Eco Marketing ต่างประเทศกำลังพูดกันถึงแนวคิด Social Enterprise หรือกิจการเพื่อสังคม แนวคิดนี้ก็ดีนะครับ คือ การดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึง Triple Bottom Line (3BL) คือ คำนึงถึงสังคม คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและคำนึงถึงผลกำไรของกิจการ
หลายคนอาจจะสงสัยว่าจะต้องคิดถึงผลกำไรด้วยเหรอ คือ อย่างนี้ครับ ถ้ากิจการเราอยู่ไม่รอดจะไปทำเพื่อสังคมได้อย่างไร ดังนั้น เราต้องดูแลกิจการของเราด้วย หลายท่านก็ถามต่อว่าจะมีเหรอ กิจการแบบนั้น ขออนุญาตยกตัวอย่างกิจการหนึ่งนะครับ ชื่อว่า Hilltribe Organics เป็นผู้ผลิตไข่ไก่ออร์แกนิคที่เชียงราย ซึ่งเริ่มจากการแจกไก่ แจกอาหารออร์แกนิคให้กับชาวเขาแค่ 4 ครัวเรือนฟรี เพียงแต่ชาวเขาต้องดูแลไก่ เก็บไข่ และบริษัทก็จะไปรับซื้อ ทำให้ชาวเขามีรายได้เพิ่มทันทีทุกครัวเรือน ในขณะที่ผู้บริโภคก็ได้บริโภคไข่ไก่คุณภาพสูง นอกจากนี้การใช้อาหารออร์แกนิคยังไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย คุณ Zachary Gomes ที่เป็น Chief Operating Officer เล่าให้ผมฟังว่า หน้าที่ของเขาคือทำให้ธุรกิจอยู่ได้ เริ่มตั้งแต่ระบบโลจิสติกส์ที่ดีที่จะไปรับไข่จากบนเขามาขายที่ซูเปอร์มาร์เก็ตในกรุงเทพฯ ภายในเวลา 3 วัน (และต้องทำให้ความเสียหายเกิดน้อยที่สุด) ต้องดูแลด้านการทำการตลาดที่ดีที่จะทำให้ธุรกิจสามารถขยายตัวได้ จนมีกำลังการผลิตถึง 3 แสนฟอง มีร้านค้ารับผลิตภัณฑ์ของ Hilltribe Organics ไปจำหน่ายมากมาย จนในปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยในประเทศไทยหลายแห่งเข้าไปทำวิจัยร่วมกับบริษัทเพื่อพัฒนาในด้านต่างๆ เพราะเห็นว่าเป็นแนวคิดธุรกิจที่เป็นประโยชน์ เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แนวคิด Social Enterprise นี้นอกจากจะเป็นแนวคิดที่ดีแล้ว ยังทำให้เราสามารถทำธุรกิจได้อย่างยั่งยืนอีกด้วยครับ (Sustainable Business)
E ที่สาม อันนี้แรงครับ ไม่ทำไม่ได้ละ นั่นคือ E-Marketing รวมทั้งหมดเลยไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ สื่อสังคมออนไลน์ การใช้อีเมลและอื่นๆ เพราะ E-Marketing คือ การทำการตลาดโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ไม่ใช่แค่เว็บไซต์เท่านั้น เอาง่ายๆ ทุกอย่างที่เสียบปลั๊กเป็นอิเล็กทรอนิกส์หมดเลย
เดี๋ยวนี้ตู้เอทีเอ็มเวลาเราไปกดก็มีโฆษณาจริงไหมครับ สมัยก่อนการทำ E-Marketing จะใช้ 3 เครื่องมือหลักคือ Website (ทำหน้าที่ดึงดูดลูกค้ามายังหน้าเว็บที่น่าสนใจ) e-mail และ SMS (ทำหน้าที่ผลักข้อมูลไปให้ลูกค้าเพื่อดึงกลับมายัง Website) แต่ในปัจจุบันรูปแบบเหล่านี้ไม่พอแล้วครับ ตอนผมสอนเรื่อง E-Marketing เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว จะบอกว่า 3 อย่างนี้ผู้ประกอบการควรทำ แต่ปัจจุบันนี้ ผมจะบอกว่ามีอยู่ 5 เครื่องมือที่ ‘ต้องทำ’ สำหรับ E-Marketing คือ
Website หลายท่านบอกว่าไม่จำเป็นแล้ว แต่ผมจะบอกว่ากิจการที่มี Website ที่ดี จะให้ข้อมูลลูกค้าได้มาก และที่สำคัญ ยังสร้างความน่าเชื่อถือให้กับกิจการได้ โดยเฉพาะถ้ามีการติดต่อกับบริษัทต่างชาติครับ
Facebook Fanpage ไม่ใช่ของตัวเจ้าของเองที่เรียกว่า Facebook Profile นะครับ แต่เป็น Fanpage ที่สามารถรับลูกค้าได้ไม่จำกัด (แบบส่วนตัวรับได้แค่ 5,000 คน) นอกจากนี้ Fanpage สามารถซื้อโปรโมทให้คนเห็นได้มากขึ้น และสามารถค้นหาได้จาก Search Engine เช่น Google ได้อีกด้วย
เครื่องมือที่สามคือ Instagram เอาไว้ทำไมน่ะหรือ เพื่อโชว์รูปสวยๆ อย่างไรครับ เชื่อเถอะว่า ผู้บริโภคในยุค Information Overload ไม่อ่านอะไรเยอะๆ อีกแล้ว แต่ดูรูปเป็นหลัก การใช้ IG จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของท่านน่าสนใจมากๆ ครับ แต่ต้องอย่าลืมแต่งรูปสวยๆ ใส่ฟิลเตอร์ให้งดงามก่อนโพสต์นะครับ หลายครั้งที่ผมเองก็ถูกชักชวนให้ซื้อด้วยรูปสวยๆ เหมือนกัน แถมให้ว่าในปัจจุบัน Facebook กับ Instagram เป็นพี่น้องกันที่ช่วยเสริมแรงกันได้เป็นอย่างดี ซื้อโปรโมทระหว่างกันก็ได้ด้วย เรียกว่า 1+1 ได้ยอดลูกค้าทวีคูณเลยครับ
เครื่องมือต่อมาคือ YouTube ผู้ประกอบการหลายท่านมักจะบอกผมว่า “ไม่รู้จะอัพคลิปอะไรน่ะอาจารย์” เอาง่ายๆ เลย คลิปโฆษณาของท่าน คลิปวิธีการผลิตสินค้าของท่าน คลิปแนะนำสินค้าของท่าน คลิปรีวิวผลิตภัณฑ์ หรือแม้แต่คลิปแนะนำเส้นทางมายังร้านของท่าน เห็นไหมครับ เยอะแยะ อัพไว้เถอะ เดี๋ยวมีคนมาดูเอง
เครื่องมือสุดท้ายคือ Twitter ถามอีกล่ะสิว่าทำไม แน่นอนว่า ตอนนี้คนไทยเล่นไม่มากเหมือนเครื่องมืออื่นๆ แต่ว่าการ Tweet มันจะขึ้นไปบนหน้าของคนที่ติดตามเราเสมอนะครับ ไม่เหมือนกับ Facebook ที่เพจไหนที่เราไม่ได้มีส่วนร่วมมากๆ (Engage) มันจะไม่ฟีดขึ้นมา อีกอย่าง Twitter มันจะเป็นข้อความสั้นๆ เข้าใจง่ายและเสริมเครื่องมืออื่นๆ ได้ดีครับ
ที่สำคัญ ทุกเครื่องมือที่บอกว่าค่าใช้จ่ายต่ำมาก มีแต่ Website เท่านั้นที่อาจต้องเสียค่าเขียนหรือถ้าเขียนเว็บสำเร็จรูปได้ ทุกอย่างฟรีหมดครับ ชอบแล้วล่ะสิ ทำเลยสิครับ !!!
E ตัวที่สี่ที่มาแรงและตอบรับกระแสอาเซียนด้วยคือ Elevation Marketing แปลตามตัวคือการตลาดแบบลิฟต์หรือการยกระดับลูกค้าครับ ผมเคยพูดไปบ้างว่าพออาเซียนรวมกันและมีประเทศจีนอีก คนชั้นกลางจะเพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านจำนวนคนชั้นกลางหรืออำนาจการจับจ่ายใช้สอย (Spending Power) ลูกค้าทุกคนจะชอบถ้าถูกยกระดับให้เป็นคนสำคัญ ตัวอย่างเช่นบัตรเครดิตต่างๆ จะมีหลายระดับให้ลูกค้าได้ไต่เต้า ตั้งแต่บัตรคลาสสิค บัตรทอง บัตรแพลตทินั่ม บัตรซูเปอร์แพลตทินั่ม บัตรซูเปอร์สเปเชียลอภิมหาอลังการแพลตทินั่ม ยิ่งได้อัพเกรดยิ่งอยากใช้เยอะครับ การทำการตลาดแบบนี้เรื่องฐานข้อมูลของลูกค้าสำคัญมากครับ การเก็บข้อมูลเบื้องต้น ข้อมูลการซื้อ ยอดการซื้อ ความถี่ในการซื้อ และพฤติกรรมของลูกค้า ต้องนำมาวิเคราะห์ เพื่อที่จะแบ่งกลุ่มลูกค้าได้ จะได้เลื่อนระดับให้ถูกคน การเลื่อนระดับนี้อาจมองไปถึงตัวผลิตภัณฑ์ของเราเองที่ต้องยกระดับให้เหมาะกับลูกค้าชนชั้นกลางนะครับ ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จคือ ไอศกรีมกูลิโกะที่พอทำบรรจุภัณฑ์ให้ดูดีขึ้นเหมือนของญี่ปุ่น ราคาสูงขึ้นกว่าไอศกรีมตามตู้แช่ทั่วไป ใช้ Brand Ambassador ดูดี มีระดับ ก็ทำให้เกิดกระแสตามล่าไอศกรีมกูลิโกะกันทั่วบ้านทั่วเมือง ไม่มีใครอยากอยู่ในระดับเดิมไปตลอด ทุกคนก็อยากถูกมองว่าเป็นคนสำคัญ เป็นคนมีระดับทั้งนั้น จริงไหมครับ
และ E ตัวสุดท้ายคือ Experiential Marketing ครับ เป็นการตลาดสร้างประสบการณ์ (ที่ดี) จะเห็นได้จากหลายๆ บริษัททำการตลาดเหตุการณ์พิเศษ (Event Marketing) เพื่อให้ลูกค้าได้มามีประสบการณ์ที่ดีกับบริษัทหรือผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นงานเปิดตัวสินค้า งานขอบคุณลูกค้า งานลดราคาประจำปี งานแข่งขันกีฬาหรือแม้แต่งานคอนเสิร์ตก็ตาม สิ่งสำคัญที่ห้ามลืมก็คือประสบการณ์ที่ดีของลูกค้าจะเกิดได้จากการดำเนินงานตามปกติของกิจการด้วย เช่นการให้บริการที่ดีอย่างสม่ำเสมอ เราเคยพูดเรื่องการตลาดบริการกันไปบ้างแล้วนะครับ ต้องให้ความสำคัญมากๆ ในยุคนี้ เพราะลูกค้าเปลี่ยนใจได้ง่ายเสมอ และถ้าลูกค้าเกิดประสบการณ์ที่ดีกับเรา จะไปบอกต่อเพื่อนๆ ของเขาประมาณ 3-5 คน แต่ถ้าได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดี เดี๋ยวนี้บอกต่อทาง Social เห็นกันเป็นพันคนเลยนะครับ ต้องระวังให้ดีครับ
เอาล่ะครับ E ห้าตัวนี้ รับรองว่ามาแรงแน่ ผู้ประกอบการลองนำไปปรับใช้ดูนะครับ ขอให้สบายใจ เย็นใจ เย็นกาย ในช่วงวันหยุดยาวนี้ทุกคนครับ สวัสดีปีใหม่ไทยครับทุกท่าน