หลังจากกลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่ ผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มของเมืองไทย ได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ เพื่อมุ่งแสวงหาโอกาสขยายธุรกิจใหม่ โดยมี 6 เสาหลัก ที่เป็นหัวหอกสร้างการเติบโตขององค์กร
ประกอบด้วย 1.ธุรกิจเบียร์ โซดา และน้ำดื่ม 2.ธุรกิจบรรจุภัณฑ์บางกอกกล๊าส 3.ธุรกิจระดับภูมิภาค (รีจินัล) ภายใต้ สิงห์ เอเชีย โฮลดิ้ง 4.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยสิงห์เอสเตท 5.ธุรกิจซัพพลายเชน ภายใต้บุญรอดซัพพลายเชน และ 6.ธุรกิจอาหาร โดยฟู้ด แฟคเตอร์
สำหรับธุรกิจอาหารในกลุ่มบุญรอดฯ เพื่อก้าวไปสู่การเป็นผู้ประกอบการธุรกิจอาหารแบบครบวงจร จากต้นน้ำไปยังปลายน้ำ บริษัทมุ่งตอกย้ำการ Synergy ร่วมผนึกความแข็งแกร่งระหว่างกลุ่มธุรกิจสร้างการเติบโตร่วมกัน
โดยปัจจุบันมีการแบ่งกลุ่มธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.กลุ่มการผลิตและผลิตภัณฑ์ (Food Product & Production) 2.กลุ่มเครือข่ายธุรกิจอาหาร (Food Network) 3.กลุ่มร้านอาหาร (Food Retail)
ปิติ ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด (Food Factors) เปิดเผยว่า ล่าสุด ฟู้ด แฟคเตอร์ฯ ในกลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่ ผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มครบวงจร ได้ลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท ในการเข้าร่วมลงทุนกับบริษัท เคที เรสทัวรองท์ฯ (KT) หรือร้านซานตา เฟ่ สเต็ก (Santa fe) เพื่อเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 88%
ซึ่งถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์หลักของกลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่ เพื่อผลักดันกลุ่มธุรกิจอาหารให้เป็น 1 ใน 6 เสาหลักที่สร้างรายได้ โดยตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจอาหาร 4,000 ล้านบาท ในอีก 3 ปีข้างหน้า
“การเข้าซื้อกิจการบริษัท เคที เรสทัวรองท์ฯ เป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ฟู้ด แฟคเตอร์ฯ บรรลุเป้าหมายทางด้านยอดขายได้ในอนาคต ทั้งนี้ เคที เรสทัวรองท์ฯ มีรายได้โดยเฉลี่ยราว 1,200 ล้านบาทต่อปี ซึ่งนับว่าเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่เข้ามาเสริมศักยภาพในส่วนของกลุ่มร้านอาหาร (Food Retail) ประเภทร้านสเต็ก และเติมเต็มธุรกิจร้านอาหารในพอร์ตโฟลิโอให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น”
โดยปัจจุบันธุรกิจร้านอาหารในพอร์ตโฟลิโอของฟู้ด แฟคเตอร์ฯ ประกอบด้วย ร้านฟาร์มดีไซน์, ร้านอาหารญี่ปุ่น Kitaohji และเอส 33 โดยบริษัท เอสคอมพานี จำกัด ดูแลกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร และล่าสุดร้านสเต็กซานตา เฟ่ (Santa fe) ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 117 สาขา ได้เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งและสร้างการเติบโต
โดยวางแผนเพิ่มจุดขายในการจัดจำหน่ายสินค้าในกลุ่ม เช่น น้ำดื่ม เบียร์ ข้าวบรรจุถุงพันดี ฯลฯ พร้อมร่วมคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกันกับกลุ่มบริษัท เฮสโก โซลูชั่น จำกัด และบริษัท เฮสโก ฟู้ด จำกัด และยังมี Food innovation Center ศูนย์นวัตกรรมในการวิจัยและพัฒนาสินค้าอาหารและเครื่องดื่มด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย จึงพร้อมพัฒนาเมนูและผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับร้านซานตาเฟ่ สเต็ก และเหม็งนัวนัว
“โอกาสในธุรกิจร้านอาหารสเต็ก เป็นกลุ่มอาหารที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนไทย ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดยังมีไม่มากนัก และคู่แข่งรายใหญ่ๆ ในตลาดมีเพียง 2-3 ราย และยังมีโอกาสขยายไปยังประเทศอื่นๆ ในอาเซียนอีกด้วย หลังจากก่อนหน้านี้ นำร่องขยายไปแล้วที่กัมพูชา”
สำหรับแผนในอนาคตเพื่อสร้างซัพพลายเชนธุรกิจอาหารให้ครบวงจร ได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการทำครัวกลาง (Central Kitchen) เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิต การจัดตั้งศูนย์การกระจายสินค้า (Central Distribution) หลังจากธุรกิจมีมูลค่ามากเพียงพอ
โดยร่วมกับกลุ่มเฮสโก ซึ่งมีความเชี่ยวชาญการผลิตอาหาร, กลุ่ม Food innovation Center ศูนย์วิจัยและพัฒนาสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่ม Bevchain logistics การบริหารจัดการและการกระจายสินค้า สู่ภูมิภาคอาเซียน รวมถึงการสร้างแบรนด์สินค้าใหม่จับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อมากขึ้น
ปิติ กล่าวว่า บริษัทยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ภายใต้งบ 5,000 ล้านบาท ซึ่งในการลงทุนใหม่ๆ จะพิจารณาถึงความเหมาะสมสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของบุญรอดฯ หากเป็นบริษัทที่ดี มีสินค้าเข้ามาเสริมศักยภาพฟู้ด แฟคเตอร์ โดยเฉพาะการลงทุนร้านอาหารที่มีแบรนด์แข็งแกร่ง คุณภาพดี รสชาติอาหารอร่อย เพื่อเพิ่มพอร์ตโฟลิโอธุรกิจอาหารให้ครอบคลุมตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สำหรับภาพรวมธุรกิจอาหารในประเทศไทย ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตอย่างมากในทุกเซ็กเมนต์ มาจาก 2 ปัจจัยหลัก
โดยคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโต 15% ในอีก 3 ปีข้างหน้า เนื่องจากค่าใช้จ่ายในครัวเรือนที่สูงขึ้น จึงเป็นโอกาสของร้านสเต็กซานตา เฟ่ และเหม็งนัวนัว