ไวรัสโควิด - 19 ไม่เพียงเป็นโรคภัยที่อุบัติให้ผู้คนต้องหวาดระแวงกันทั่วโลกเท่านั้น หากแต่ยังเป็นไวรัสที่เปิดเผยตัวตนความเป็นปุถุชนที่มีความรัก โลภ โกรธ หลง พร้อมเผยตัวตน วิธีคิด มุมมอง ความรับผิดชอบให้สังคมได้เห็นกันชัดๆ อีกด้วย
กรณีที่เปิดเผยธาตุแท้ของปุถุชน ที่มีความเห็นแก่ตัวอย่างชัดเจน ตั้งแต่การขายหน้ากากไม่ได้คุณภาพ...หลอกขายทางออนไลน์ ให้โอนเงินไปแต่ไยของไม่มา...หรือที่วางๆ ขายกันก็ราคาสูงปรี๊ดดด...ที่ดราม่ากันหนักมาก็ 'ปู่ย่า' ที่ปิดข้อมูลการเดินทางเล่นเอาคนย่านดอนเมืองป่วน!! ต้องทำบิ๊กคลีนนิ่งกันจ้าละหวั่นทั้งแบงก์ ทั้งโรงเรียน
แต่ตอนนี้ที่เป็นประเด็นดราม่า และน่ากลัวกว่าไวรัส คือ 'ผีน้อย' ที่เดินทางจากเกาหลีใต้
'ผีน้อย' ที่ว่าไม่กลัวพระหรือสายสิญจน์หรือแคร์ใครอันใดทั้งสิ้น มีแต่ 'สำนึกรักบ้านเกิด' ท่วมท้นว่า หากเป็นไรมาขอตายที่บ้าน แต่ไหนๆ เมื่อมาถึงบ้านแล้วก็ต้องสำแดงพลัง 'โชว์พาว' หน่อยว่ารวยมา เมื่อบวกประสบการณ์การใช้ชีวิตแบบต้องหนีอย่างโชกโชนในเกาหลีก็ทำให้ผีน้อยเที่ยวได้เพ่นพ่าน ไปกินหมูกระทะ เที่ยวผับ รับลูกที่โรงเรียน ฯลฯ เช็คอินโพสต์ลงโซเชียลมีเดียสนุกสนาน ไร้สำนึก จนสถานประกอบการต่างๆ ต้องปิดสถานที่ทำบิ๊กคลีนนิ่งกัน ขาดรายได้กันถ้วนหน้า แต่เพื่อความสร้างความเชื่อมั่นต้องยอม
จริงๆ จากเรื่อง 'หน้ากากอนามัย' ก็ไม่อยากลากไปถึง 'เกมล่าแม่มด' แต่จุดเชื่อมโยง คือ ธาตุแท้ของมนุษย์ที่ไวรัสโควิด - 19 ลากไส้ออกมา ไม่เว้นแม้แต่คนในภาครัฐบาลที่ไม่ค่อยมีทักษะการบริหารจัดการเอาจริงๆ ที่ผ่านมางานของกระทรวงพาณิชย์จะอยู่ที่สินค้าส่งออก สินค้าเกษตรที่มีผลต่อ GDP (Gross Domestic Product) ประเทศไทยอย่างยางพารา ข้าว ฯลฯ ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่สินค้าอย่างหน้ากากอนามัยแทบจะมีสถานะดั่งทองคำ หรือสินค้ายุทธภัณฑ์ อีกทั้งมีผลต่อ GNH (Gross National Happiness) ที่สำคัญมากกว่า GDP เสียอีก
แล้วเมื่อถึงคราวที่กระทรวงฯ จะได้หน้าเสียหน่อย เพราะจะมีหน้ากากอนามัยแบ่งขาย แต่ระบบการบริหารจัดการ เพื่อขายของให้กับประชาชนก็ไม่สมกับชื่อกระทรวงอันใดเลย ปล่อยให้ประชาชนเข้าคิวตามความยาวของตัวอาคาร ขดไปขดมา โดยรอบปลายกุมภาพันธ์ขาย เช้า - บ่าย ซื้อหน้ากากชนิดธรรมดาสีเขียวได้คนละ 1 แพค (10 ชิ้น) ราคา 25 บาท ถัดมาล่าสุดต้นมีนาคมที่ผ่านมา เปิดขายเช้าและบ่ายเช่นกัน ซื้อได้คนละ 1 แพค (4 ชิ้น) 10 บาท แถวยาวเฟื้อยยย ...หรือเข้าใจอะไรผิดว่า คนเข้าแถวยาวแล้วเท่ ม่ายช่ายนะ.... มันโชว์ว่า มีสมอง แต่ปิดสมองไใม่ได้ใช้มานานตะหาก เพราะจำนวนที่แพคขายน้อยก็นับว่าหนักหนาอยู่แล้ว แต่พอให้อภัยได้ว่า สินค้าขาดตลาด แต่ระบบการขายสินค้า ทำไมไม่แจกบัตรคิว หาที่นั่งให้ประชาชนให้เรียบร้อย เราจะเป็นประเทศ 4.0 แต่ระบบคิดของคนทำงานยังเป็น 0.4 ตลกสิ้นดี แถมชื่อกระทรวงก็เกี่ยวข้องกับการค้าขายโดยตรง หรือเคยแต่ค้าขายระดับประเทศ ค้าขายระดับนี้ไม่ถนัด !!!
ขณะเดียวกัน เมื่อปรายตามาที่กระทรวงสาธารณสุขที่ปกติเคยแต่ยุ่งกับเรื่องสารเคมี อาหารและยา เครื่องสำอาง เวชสำอาง ฯลฯ ที่เคยรับมือกับโรคระบาดอย่างเมิร์ส ซาร์ หวัดนก ฯลฯ ก็หลายปีมาแล้ว แล้วก็ไม่ถึงขั้นกลียุคเท่าคราวนี้ที่เดือดร้อนไปทั่วโลก มีตัวแปรภายใน - ภายนอกมากมาย โดยหนึ่งในนั้นนอกจากเวชภัณฑ์แล้วก็มีเรื่องหน้ากากอนามัยอีกเช่นกันที่กระทรวงฯ จะต้องซัพพลายให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้บริการผู้ป่วย อีกทั้งถือเป็นกลุ่มเสี่ยงด่านหน้ามากกว่าอีกหลายๆ วิชาชีพ แต่เอาเข้าจริง กลับขาดแคลนขนาดที่โรงพยาบาลบางแห่งต้องกำหนดระดับความสำคัญว่า ใครในแผนกใดควรจะได้ใช้หน้ากากอนามัยกันบ้าง หรือบางแห่งก็ออกมาตรการให้บุคลากรพกพามาเอง หรือใช้หน้ากากอนามัยแบบผ้า ซึ่งไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก แต่ดีกว่าไม่มีใช้ ... !!
แล้วที่ซ้ำเติมหนักคือ มีปัญหาโจรกรรมหน้ากากอนามัยที่โรงพยาบาลเป็นกล่องๆ หรือแอบขโมยเจลล้างมือที่วางเพื่อให้บริการแบบสาธารณะ เพื่อใช้เองส่วนตัว นี่คือตัวตนของปุถุชนในแง่ลบที่แสดงออกกันมาอย่างเปิดเผยด้วยไวรัส โคลิด - 19 ช่วยลากไส้ที่มีอยู่กี่ขดๆ ให้ออกมาตีแผ่กันว่า คนเรามีความเห็นแก่ตัวกันอย่างมากเพียงใด แต่ที่ดราม่า + ฮ็อตสุดๆ คือ กรณีเจอหน้ากาก 200 ล้านชิ้นที่มีตัวละคร ชื่อ เสี่ยบอย และรมต.กับคนใกล้ชิดรมต.ของรัฐบาลไปรวมอยู่ด้วย !?! แต่ตอนนี้ เสี่ยบอยถูกกล่าวหาแค่คดีคอมพ์เพียงอย่างเดียว เพิ่งเจออีกข้อหาจากอาลีบาบาที่ถูกพาดพิงอย่างไม่เป็นความจริง แต่แปลกตรงไม่ยักเจอคดีอาญาอื่นๆ ... อีกทั้ง มีการแจ้งจับเพจแหม่ม โพธิ์ดำ โดย สนธิญา สวัสดี สมาชิกพรรคพลังประารัฐที่เข้าร้องกับกองปราบฯเป็นการส่วนตัวในฐานะสมาชิพรรคฯไม่ใช่ตัวแทนของพรรคฯ
(ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ http://bit.ly/2Q4JD6g)
แทนที่จะช่วยกันแก้ปัญหา ตอนนี้หน้ากากอนามัยกลายสภาพเปํ็นอาวุธทางการเมืองไปแล้วซะนี่ ...เรามาหาทางเลือก ทางรอดกันดีกว่าหรือเปล่า เราจะตายกันเพราะโควิด-19 หรือสงครามน้ำลายกันดี ... โดยส่วนตัวมองว่า เรามาร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์ มองหาทางรอดกันดีกว่ามั้ย อย่างน้อยข่าวที่ได้ทราบมาล่าสุด ก็ทำให้พบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์บ้าง เมื่อมีการแถลงข่าวถึงผลงานนักวิจัยไทยว่า กำลังจะผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อไวรัส iSol+ Tech ที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องและฆ่าเชื้อไวรัส โดยผู้ใช้สามารถฉีดสเปรย์ลงบนหน้ากากอนามัยประเภทซักได้และพื้นผิวสัมผัสต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องและฆ่าเชื้อไวรัสก่อนใช้งานทุกครั้ง ข่าวนี้ถือเป็นข่าวดี และเป็นที่ยินดียิ่งกว่าเมื่อทราบว่า การผลิต 1 ล้านมิลลิลิตรแรกประมาณปลายมีนาคมนี้จะบริจาคให้กับหน่วยงานภาครัฐด้านการแพทย์ทั้งในไทยและในประเทศจีน แล้วก็จะวางตลาดประมาณปลายเดือนมีนาคมนี้ เท่าที่ทราบ มีคนแอบกระซิบมาว่า บริษัทนี้ถูกลูกค้าแลัะประชาชนทั่วไปติดต่อเข้าไปมากมาย เพื่อขอซื้อสินค้า กล่าวได้ว่า iSol+ Tech เป็นหนึ่งในแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์และเป็นโอกาสทางธุรกิจท่ามกลางวิกฤตโควิด - 19 ที่น่าจะทำให้เราก้าวข้ามปัญหาหน้ากากอนามัยกันไปได้
ที่สำคัญ ถ้าผลิตออกมามากพอ iSol+ Tech น่าจะเป็๋นตัวจบ THE MASK SERIES ในระดับประเทศและระดับโลกได้ เราเชื่ออย่างนั้น