ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจต้องเผชิญกับแรงกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องของเศรษฐกิจซบเซา กำลังซื้อผู้บริโภคหดตัว ภาวะการใช้เม็ดเงินโฆษณาที่ถดถอยและกระแส Disruption ที่ถาโถมใส่ทุกธุรกิจ ไม่เว้นแม้แต่ ธุรกิจเพลง ที่ได้รับผลกระทบหนักทั่วโลกเช่นกัน แต่สำหรับ “จีเอ็มเอ็ม มิวสิค” สามารถฝ่าวิกฤต และสร้างการเจริญเติบโต แบบสวนกระแสทำรายได้รวมสูงถึง 4,014 ล้านบาท มากที่สุดในรอบ 10 ปี มีกำไร 472 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตกำไรที่ 13.2% แกรมมี่รอดแล้ว !!!
ภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความสำเร็จของ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค ในครั้งนี้ ได้แรงส่งสำคัญจาก 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ที่ถือได้ว่าเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญของแหล่งรายได้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งชี้ถึงโอกาสของการเจริญเติบโตในระยะยาวประกอบด้วย
สัดส่วนรายได้ของ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค ในปี 2562
“ไม่มีความสำเร็จใดที่เกิดขึ้นได้ด้วยคนเพียงคนเดียวผมขอขอบคุณพี่น้องชาวจีเอ็มเอ็ม มิวสิคทุกคน ศิลปิน ทีมงานเบื้องหน้าและเบื้องหลังทุกชีวิต ที่ทุ่มเทสุดพละกำลังที่ทำให้การเติบโตอย่างสวนกระแสในครั้งนี้ให้เกิดขึ้นได้อันที่จริงแล้วความสำเร็จนี้เป็นเพียงแค่การผ่านพ้นบันไดขั้นที่ 1 เพียงเท่านั้น ซึ่งผมเคยกล่าวเอาไว้ในวันที่เข้ารับตำแหน่งว่า ความสำเร็จที่ยั่งยืน คือ เป้าหมายที่สำคัญที่สุดในความรับผิดชอบนี้ การเดินทางอาจไม่สวยงามและไม่สำเร็จได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น แผนยุทธศาสตร์ของจีเอ็มเอ็ม มิวสิค จึงได้ถูกวางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นเป็นบันได 3 ขั้นที่ต้องปีนขึ้นไปเพื่อการเติบโตสู่อนาคตที่มั่นคง สดใส และยั่งยืน”
ความสำเร็จของจีเอ็มเอ็ม มิวสิค เกิดขึ้นได้เพราะกลยุทธ์ทางธุรกิจแบบบันได 3 ขั้น บันไดขั้นที่ 1 คือสิ่งที่ได้ทำมาตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ดำรงตำแหน่ง ได้แก่
ในปี 2563 นี้ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค กำลังก้าวเข้าสู่กลยุทธ์บันไดขั้นที่ 2 เพื่อสร้างการเติบโตของธุรกิจในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยมีทั้งหมด 7 องค์ประกอบ ดังนี้
1.New Content Strategy & New Artist Development
2.Showbiz Expansion
ขยายธุรกิจ Showbiz อย่างไร้ขีดจำกัด โดยเราสามารถแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบของการขยาย ได้ดังนี้
3.Artist Product
การสร้างสินค้าศิลปินนั้นต้องพูดให้ชัดเจนเลยว่าสินค้าที่พูดอยู่นี้ไม่ใช่ Merchandising แต่เป็นสินค้าผลิตภัณฑ์ของศิลปินที่ศิลปินเป็นเจ้าของจริงๆได้รับกำไรขาดทุนจริงๆ โดยที่มีจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เป็นผู้ลงทุน ซึ่งจะทำการเปิดตัวบริษัทใหม่ในเร็ววันนี้ ที่สำคัญการสร้างผลิตภัณฑ์นี้จะโฟกัสเฉพาะศิลปินที่อยู่ภายใต้สังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เท่านั้น โดยที่ผ่านมาได้ทำการทดลองออกสินค้าศิลปินไปแล้ว 1 ตัวเมื่อปีที่ผ่านมาและประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม และปีนี้จะต่อยอดความสำเร็จอย่างต่อเนื่องโดยการออกสินค้าใหม่อีก 4SKUs ซึ่งคาดว่าการเติบโตของธุรกิจประเภทนี้จะสามารถทำตัวเลข 9 หลัก ได้ภายใน 2 ปี
4.Industry Aggregation
เดินหน้า Aggregate รวบรวมพันธมิตรในวงการเพลงเพื่อสร้างประโยชน์ทางรายได้จากทุกช่องทางการค้าร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น ช่องทาง Digital Platform, Karaoke Platform หรือการสร้างโปรเจกต์ร่วมกันก็ได้ ซึ่งการ Aggregate นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยปัจจุบันทางจีเอ็มเอ็ม มิวสิค ได้ร่วม Aggregate กับค่ายเพลงต่างๆเกือบทุกค่ายแล้วเพียงแต่จะอยู่ในธุรกิจของการทำ MP3 เพียงเท่านั้น ฉะนั้นการเดินหน้าจับมือกับทุกค่ายเพลงก็เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์ในการสร้างผลประโยชน์ร่วมกันและยังสามารถสร้างรายได้ที่สูงขึ้นให้กับค่ายเพลงทุกค่าย
5.Media Partnership
ปีนี้เราจะร่วมมือกับสื่อชั้นนำทั่วประเทศแบบครบวงจร รวมถึง Platform รายใหญ่เพื่อการขยายฐานการเข้าถึงและการรับรู้ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็น สื่อทีวี, สื่อวิทยุ, สื่อ Outdoor และสื่อโรงภาพยนตร์
6.M&A
Mergers & Acquisitions เป็นแผนยุทธศาสตร์การเข้าซื้อกิจการที่สามารถสร้างโอกาสในการเกิด Leap Growthเพื่อการเติบโตอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดดทางธุรกิจโดยบริษัทมีเป้าหมายที่ชัดเจนในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่จะเข้าซื้อภายในระยะเวลา 5 ปีต่อจากนี้
7.Data Creativity
ปัจจุบัน จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ พัฒนาเรื่องของการทำ Data และมีทีม Data Scientist ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจเพลงโดยเฉพาะ เรามองเรื่องของ Data ในมุมของความสร้างสรรค์มากกว่าแค่เพียงสถิติและความเป็นไปได้ เราสามารถหยิบเรื่องของ Data มาสร้างสรรค์โอกาสมากมายในการทำการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงและเรากำลังจะเดินเข้าไปสู่ในเรื่องของการทำ Personalization เพื่อทำให้เกิด New Product Experience มากขึ้น
เรื่องของ Data Prediction ถูกนำมาใช้ในการคำนวณโอกาสของการสร้างเพลงฮิต การสร้าง Concert ที่น่าจะ Sold out หรือการสร้างยอดขายของ Merchandising ที่แม่นยำ เป็นรูปธรรม แถมยังสามารถเข้าใจและวิเคราะห์ความเชื่อมโยงต่อการตัดสินใจซื้อของแฟนคลับ รวมถึงเรื่องพฤติกรรมของแฟนคลับที่ชื่นชอบศิลปินมากกว่า 1 คน หรือ Brand สินค้าและ Media ที่แฟนคลับศิลปินชื่นชอบ จึงทำให้เกิดประโยชน์และก่อให้เกิดการซื้อขายทั้งระบบการค้า
ภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ทิ้งท้ายไวว้ว่า
“ถึงแม้วันนี้เราจะมียอดการเจริญเติบโตที่สูงอย่างต่อเนื่องมาตลอด 3 ปีติด แต่เราจะไม่ประมาทโดยเด็ดขาด เพราะคุณไพบูลย์ ได้ย้ำถึงหลักคิดหนึ่งที่ว่า “อย่าผูกขาดรสนิยม อย่าย่ามใจในความสำเร็จ” สิ่งที่เราเฝ้าระวังจึงไม่ใช่แค่เรื่องของ Disruption หรือเรื่องธุรกิจ แต่เป็นเรื่องของ “คน” เราเป็น People Business เราจะสำเร็จได้ล้วนต้องมีคนเก่งอยู่รอบตัวที่มีความสามารถ มีแรงใจ มีความกระหาย เราต้องคอยสังเกตการณ์และส่งเสริมศักยภาพของคนทำงาน บริษัทจะมีความเป็นเลิศได้ ทุกยุทธศาสตร์ที่วางไว้เป็นแค่เพียงความคิด คำพูด หรือเพียง Presentation ในห้องประชุมเท่านั้น เป้าหมายจะสำเร็จลุล่วงได้ต้องมีคนที่มีความสามารถลงมือทำ ฉะนั้น ความสำเร็จที่เกิดขึ้นนั้นจึงไม่ใช่แค่ความสำเร็จของบริษัท แต่เป็นความสำเร็จของคนทุกคนในบริษัทต่างหาก เราจึงจะดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน”