หลังจากการประกาศเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์บนชายหาดชะอำไปเมื่อปี 2555 ล่าสุด ‘ร่วมอิสสระ’ ก็ได้เผยโฉม 3 โครงการภายใต้ ‘ทิวทะเลเอสเตท’ พร้อมการเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ ‘โรงแรมบาบาบีช คลับ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ต ชะอำ-หัวหิน’ เพื่อปลุกกำลังซื้อของลูกค้าในกลุ่มลักซ์ชัวรี่ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
บุญเกียรติ โชควัฒนา ประธาน บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด กล่าวว่า “บริษัทฯ ได้พัฒนาพื้นที่ภายใต้โครงการทิวทะเลเอสเตท ซึ่งอยู่แนวชายหาดชะอำ-หัวหิน รวมพื้นที่ทั้งหมด 90 ไร่ หรือกว่า 100,000 ตารางเมตร มูลค่าโครงการรวมกว่า 12,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันมี 3 โครงการ ได้แก่ บ้านทิวทะเล อความารีน 270 ยูนิต มูลค่า 2,084 ล้านบาท ขณะนี้มียอดขาย 80-90%, บ้านทิวทะเล บลูแซฟไฟร์ 421 ยูนิต มูลค่า 1,920 ล้านบาท มียอดขายแล้ว 60-70% และบลู มูลค่า 1,506 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการก่อสร้าง แต่มียอดขายแล้ว 25-30% ซึ่งล่าสุดบริษัทได้เริ่มพัฒนาโครงการใหม่ โรงแรมบาบาบีช คลังโฮเทล แอนด์ รีสอร์ต มูลค่า 1,700 ล้านบาท เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลักซ์ชัวรี่ที่ชื่นชอบการพักผ่อนบนชายหาดส่วนตัว โดยบริษัทมอบหมายให้ทีมงานผู้เชี่ยวชาญโรงแรมศรีพันวาช่วยบริหารจัดการด้านโรงแรม ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถเปิดขายได้ภายในปี 2560 ในราคาราว 30-60 ล้านบาท”
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะขยายพื้นที่ด้านหน้าโครงการเพิ่มขึ้น และเตรียมพัฒนาเป็นอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบคอมเมอร์เชียล พร้อมการดึงร้านอาหาร ร้านกาแฟ รวมไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ต เข้ามาช่วยสร้างสีสันให้โครงการมีความครบครันมากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มได้ในปี 2560-2561
ดิฐวัฒน์ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด กล่าวเสริมถึงในด้านกลยุทธ์ทางการตลาดของทิวทะเลเอสเตทว่า “สำหรับในปีนี้เราได้วางงบการตลาดอยู่ที่ 3-4% ของยอดขาย ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับในปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้เราได้ให้ความสำคัญกับสื่อออนไลน์มากขึ้นโดยใช้งบการตลาดราว 30% เพราะสื่อออนไลน์มีช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายและสามารถติดต่อกับผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว เช่น เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม บล็อกเกอร์ รวมไปถึงการซื้อแบนเนอร์บนเว็บไซต์ และการพัฒนาเว็บไซต์ของบริษัทให้รองรับการเข้าชมจากสมาร์ทโฟน ในขณะที่สื่อประเภทอื่นก็จะต้องใช้อย่างระมัดระวังมากขึ้น เช่น การออกบูทในห้างสรรพสินค้าที่ปัจจุบันไม่ได้ช่วยในการตัดสินใจของผู้บริโภคมากเท่าใดนัก ซึ่งเราก็จำเป็นที่จะต้องหาช่องทางใหม่ๆ เพื่อให้ผู้บริโภครู้จักและเข้าถึงข้อมูลของโครงการให้มากที่สุด”
ด้าน อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในชะอำ-หัวหินว่า “หลังจากในปีที่ผ่านมาผู้บริโภคได้ชะลอกำลังซื้อไป เนื่องจากความไม่มั่นใจในสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งในปีนี้ช่วงเดือนที่ 3-4 ตลาดหัวหิน-พัทยา-ชะอำเริ่มกลับมามีความคึกคักมากขึ้น ซึ่งแม้ว่าตลาดนี้จะมีการแข่งขันสูง แต่ท้ายที่สุดแล้วลูกค้าในตลาดลักซ์ชัวรี่จะพิจารณาโครงการจาก 2-3 ปัจจัยหลัก นั่นคือ ขนาดของโครงการที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ดีไซน์การออกแบบ บริการหลังการขาย รวมไปถึงความน่าเชื่อถือของผู้พัฒนาโครงการ ซึ่งหากเป็นโครงการที่ตอบโจทย์พวกเขาได้ ราคาก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ โดยกลุ่มลูกค้าหลักตลาดหัวหิน-ชะอำ ยังเป็นคนไทยประมาณ 85-90%”
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาสแรกปีนี้มีรายได้อยู่ที่ 500 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทได้ตั้งเป้าหมายรายได้ทั้งปีไว้ที่ 3,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันมียอดรับรู้รายได้อยู่ราว 2,500-2,600 ล้านบาท
FYI บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด เป็นการร่วมทุนระหว่าง บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ในสัดส่วน 50:25:25 ตามลำดับ ด้วยทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท เพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้โครงการทิวทะเลเอสเตท แนวชายหาดชะอำ-หัวหิน |