เพื่อให้คนไทยผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากไปด้วยกันในช่วงวิกฤติ COVID-19 บัณฑูร ล่ำซำ ประธานกิตติคุณ ธนาคารกสิกรไทย และ ประธานกรรมการ มูลนิธิกสิกรไทย แถลงว่า กสิกรไทยได้กันวงเงิน 1,300 ล้านบาทแบบ 'ใจสุดๆ' เพื่อสนับสนุนสองโครงการ เพื่อให้กำลังใจกับบุคลากรทางการแพทย์ที่มีการตีความอย่างครอบคลุม ไม่ใช่แค่แพทย์ พยาบาลอย่างที่หลายคนเข้าใจ เดือนละ 4,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ในนามของโครงการ 'เบี้ยรบพิเศษสำหรับนักรบเสื้อกาวน์' โดยนำร้องกับพื้นที่ 5 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งถือเป็นพื้นที่เสี่ยงในขณะนี้จากการที่มีคนเดินทางจากต่างประเทศเข้ามาตลอด ด้วยงบประมาณ 300 ล้านบาทกับโครงการ 'สินเชื่อ 0% เพื่อรักษาคนงานเอสเอ็มอี' เดือนละ 8,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน เพื่อช่วยต่อท่อลมหายใจให้กับเอสเอ็มอี ไม่ต้องปลดคนงาน ซึ่งเป็นฐานล่างที่เล็กที่สุดของธุรกิจเอสเอ็มอี พร้อมจี้รัฐบาลต้องคิดแผนสองรองรับให้คนไทยอยู่รอดได้หลังจากสามเดือน และต้องวางแผนใช้เงินอย่างมีทิศทาง ก่อนที่ 'กระสุน' จะหมด
'เบี้ยรบพิเศษสำหรับนักรบเสื้อกาวน์'
บัณฑูรแถลงถึง 2 โครงการของธนาคารกสิกรไทยและมูลนิธิกสิกรไทยเพื่อช่วยเหลือ.ห้คนไทยผ่านพ้นผล กระทบของในช่วงวิกฤติCOVID-19 ครั้งนี้เพิ่มเติมจากความช่วยเหลือครั้งก่อนหน้า
"โครงการ 'เบี้ยรบพิเศษสำหรับนักรบเสื้อกาวน์' เป็นโครงการที่มุ่งให้การสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีอัตราการแพร่ระบาดสูงได้แก่ สงขลา ยะลา นราธิวาส ปัตตานีและสตูล โดยการทำงาร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งโครงการนี้จะให้การสนับสนุนบุคลากรในโรงพยาบาลรัฐจำนวน 45 แห่งใน 5 จังหวัดดังกล่าวที่ มีบุคลากรรวม 5,083 คน โดยจะได้รับเงินรายเดือนเข้าบัญชีส่วนตัวโดยตรงคนละ 4,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคนี้ คาดว่าตลอดทั้งโครงการสามารถมอบเงินช่วยเหลือได้รวมจำนวนกว่า 2 หมื่นคน ด้วยงบประมาณ 300 ล้านบาท
ทั้งนี้ บุคลากรทางการแพทย์ที่ให้การสนับสนุน ไม่ใช่แค่แพทย์ พยาบาลเท่านั้น แต่หมายรวมถึงคนที่จะต้องสัมผัสกับคนไข้ในรูปแบบต่างๆ เพื่อคัดกรองคนไข้ หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ทางเทคนิค คนขับรถพยาบาล คนขนขยะ คนทำความสะอาด ฯลฯ ซึ่งล้วนมีความเสี่ยงต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่มีเชื้อโรคเหล่านี้อาจจะระบาดอยู่ เนื่องจากจริงๆ แล้วบุคลากรเหล่านี้ทำงานหนักกว่าเงินเดือนปกติที่ได้รับ ดังนั้น ถ้าหากมีอะไรสนับสนุนเพิ่มเติมก็จะได้กำลังใจและสามารถนำไปใช้จ่ายหรือจุนเจือครอบครัวได้อีกด้วย"
สินเชื่อ 0% เพื่อรักษาคนงานเอสเอ็มอี
ส่วนอีกโครงการเป็นการต่อท่อลมหายใจให้กับเอสเอ็มอีรายเล็กที่มีพนักงานไม่เกิน 200 คน ภายใต้โครงการ 'สินเชื่อ 0% เพื่อรักษาคนงานเอสเอ็มอี' บัณฑูรกล่าวว่า "ธุรกิจขนาดเล็กได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เพราะไม่ได้มีเงินทุนสำรองมากพอ เมื่อขาดสภาพคล่องก็จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนยาก โครงการนี้จึงมุ่งช่วยเหลือเอสเอ็มอีขนาดเล็กที่มีพนักงานไม่เกิน 200 คน และใช้บริการกับธนาคารมานานหลายปีเข้าร่วมโครงการเท่านั้น เพื่อให้เอสเอ็มอียังคงจ้างงานพนักงานต่อไปได้"
"เงื่อนไขของการพิจารณา เจ้าของธุรกิจจะต้องเป็นคนดี เป็นนักสู้ที่พยายามต่อสู้เพื่อนำพาธุรกิจและพนักงานรอดไปด้วยกัน การช่วยเหลือภายใต้โครงการนี้ ธนาคารจะช่วยจ่ายค่าจ้างพนักงานทุกคนให้บางส่วน ขณะที่ธุรกิจต้องดำเนินต่อไปได้และสามารถดูแลค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในส่วนอื่นๆ ได้เอง โดยไม่หยุดหรือปิดกิจการ โดยธนาคารจะสนับสนุนเงินกู้เพื่อจ้างพนักงาน อัตราดอกเบี้ย 0% ฟรีค่าธรรมเนียมทุกประเภท ไม่ต้องมีหลักประกัน ระยะเวลากู้ 10 ปี และไม่ต้องผ่อนชำระคืนเงินกู้ 1 ปี เพื่อให้ธุรกิจเอสเอ็มอีรายเล็กมีเงินทุนจ้างพนักงานให้พวกเขามีรายได้และอยู่รอด โดยวงเงินกู้ของแต่ละบริษัทนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนพนักงาน โดยพนักงานแต่ละคนจะได้เงินคนละ 8,000 บาทต่อเดือนเป็นระยะเวลา 3 เดือน ทั้งนี้ ธนาคารจะมีกระบวนการตรวจสอบได้ว่า เงินได้เข้าบัญชีพนักงานทุกคนจริง ซึ่งธนาคารได้เตรียมวงเงินสินเชื่อสำหรับโครงการนี้ไว้ 1,000 ล้านบาท จะสามารถช่วยธุรกิจทั่วประเทศจำนวนกว่า 1,000 บริษัทให้มีเงินทุนในการจ้างพนักงานกว่า 41,000 คน"
ทั้งนี้ เมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ธนาคารกสิกรไทยได้เปิดตัวโครงการ “เถ้าแก่ใจดี เจ้าหนี้มีใจ” ซึ่งยังอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยร่วมมือกับเจ้าของกิจการในการช่วยเหลือพนักงานที่มีเงินเดือนน้อยให้อยู่รอดได้ โดยมีจังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดนำร่อง ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี มีความคืบหน้าในการรักษาการจ้างพนักงานได้กว่า 2,000 คน จากที่ตั้งเป้าไว้ 3,000 คน คิดเป็นเกือบ 70% ของเป้า
ภาพรวมเศรษฐกิจไทย
บัณฑูรกล่าวถึงความช่วยเหลือและโครงการสินชื่อต่างๆ ของธนาคารกสิกรไทยและมูลนิธิกสิกรไทย ว่า
"ธนาคารยอมสูญเสียรายได้เพื่อให้คนในสังคมส่วนหนึ่งอยู่รอด เพราะการที่ทุกคนจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ จะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง คนที่มีต้องช่วยคนที่ไม่มี ถ้าทุกคนช่วยกันประเทศไทยก็จะสามารถฝ่าฟัน และผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม หากสถาบันการเงินดูภาพรวมและยังคิดแบบเดิมๆ ด้วยสถานการณ์อย่างนี้ก็จะไม่มีใครกล้าปล่อยสินเชื่อแน่ ซึ่งก็จะทำให้เกิดความอึดอัด ทั้งที่จริงแล้วเราต้องเปรียบสถานการณ์เช่นนี้ว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ เสมือนเป็นยามศึกสงคราม จะใช้กฎกติกาแบบเดิมไม่ได้
จริงๆ แล้วสถาบันการเงินยังมีกำลังที่จะช่วยได้ เรื่องรายได้ที่ควรจะได้ควรจะเป็นอะไรนั้นก็ควรจะต้องให้ระบบรอดก่อน ถ้าระบบเศรษฐกิจโดยรวมไปไม่รอด เราก็ไปไม่รอด ตอนนี้ต้องมองกันตรงเฉพาะหน้า ต้องสละสั้นเพื่อเอายาว
สิ่งที่เอสเอ็มอีต้องคำนึงถึงก็คือ ต้องทำอะไรจึงจะไปรอด...ต้องดูสถานการณ์การแข่งขันอยู่ตรงไหน ถ้าป้อแป้อยู่แล้วก็สู้ไม่ได้ น้ำมาก็สู้ไม่ได้ แต่ตอนนี้ถ้าเดินทางไม่ได้ก็ไม่ได้ เรื่องกระแสเงินสดที่มีปัญหาเพราะรายได้ไม่มา มีแต่รายจ่าย ถ้าปล่อยตามปกติเราก็ช่วยให้รักษาผู้คน รอจนกว่า 'น้ำ' จะมา ต้องประเมินสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ดังนั้น เราก็ดันเต็มที่และช่วยในส่วนของเรา"
นอกจากนี้ บัณฑูร ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับเนชั่นทีวีเพิ่มเติมว่า
"ในส่วนของรัฐบาลก็อยากให้มองแผนสองไว้ด้วย เพราะมาตรการเยียวยานี้ก็จะครบสามเดือนแล้ว เมื่อครบสามเดือนได้เตรียมการอะไรไว้หรือยัง สิ่งที่อยากเสนอต่อรัฐบาล คือ การแก้ปัญหาโรคระบาด เพราะวิกฤติครั้งนี้จะผ่านไปได้ และระบบเศรษฐกิจจะเดินได้ก็ต่อเมื่อเรารับมือกับโรคระบาดได้ การท่องเที่ยวกลับมา หรือผู้คนมีวิถีชีวิตตามปกติ ขณะเดียวกันรัฐบาลก็มองด้วยว่า หลังวิกฤติ COVID-19 เราจะทำมาหากินกันอย่างไร โครงสร้างทางเศรษฐกิจจะเป็นแบบใด ประเทศไทยจึงจะสามารถแข่งขันในระดับโลกได้ แล้วในการใช้งบประมาณหรือการกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องนั้นอยากจะให้รัฐบาลแถลงหรือระบุด้วยตัวเลขอ้างอิงที่ผ่านการคำนวณมาแล้ว ไม่ใช่การใช้คำพูดลอยๆ ที่สำคัญ ต้องดูแลให้ผู้มีรายได้น้อยในประเทศไทยอย่างน้อยมีกิน ไม่อดตาย ซึ่งอาจจะทำได้ง่าย เช่น โรงทาน"