SCG หนึ่งในองค์กรผู้นำรายใหญ่ ซึ่งนำร่องกระบวนการทำ Digital Transformation ตั้งแต่ปี 2560 ด้วยเป้าหมายหลักที่จะนำองค์กรไปสู่การทำงานด้วยรูปแบบดิจิทัลอย่างครบวงจร
ซึ่งในปีที่ผ่านมานี้นอกเหนือจากการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทางองค์กรมีการปรับตัวและมุ่งหน้าเพิ่มขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยีต่างๆให้เข้มข้นขึ้นทั้งจากการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับหน่วยธุรกิจเดิม
ฟากหน่วยงานด้านการลงทุนสตาร์ทอัพที่ทำหน้าที่มองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ของ SCG อย่าง AddVentures ในปี 2563 นี้ยังคงทุ่มเงินลงทุนอย่างต่อเนื่องในกลุ่มเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตไปทั้งหมด 4 บริษัท และ 1 กองทุน (VC Fund) ทั้งในและนอกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ควบคู่กับการดำเนินโปรแกรม ‘Ignitor’ ซึ่งเป็นโปรแกรมที่จะช่วยเชื่อมต่อเทคโนโลยีจากสตาร์ทอัพภายนอกและหน่วยงานต่างๆ ของ SCG โดยมีจุดประสงค์ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์กร หรือเรียกได้ว่า SCG เป็นลูกค้าของสตาร์ทอัพเหล่านั้นนั่นเอง
วิกฤติการณ์ COVID-19 ถือเป็นความท้าทาย และเป็นตัวเร่งที่ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น SCG เองจึงต้องเร่งผลักดันสร้างนวัตกรรมให้เร็วยิ่งกว่าเดิม โดยเน้นไปที่ 4 กลุ่มนวัตกรรมหลัก (Theme) ที่จะช่วยเสริมความพร้อมให้กับวิถีใหม่ (New normal) ที่เกิดขึ้น ทั้งยังเปิดประตูให้กว้างขึ้นกว่าเดิมสำหรับโอกาสใหม่ๆ ในปี 2564 ที่กำลังจะมาถึงนี้
ผู้นำด้าน Digital Transformation
กว่า 3 ปีในงานทางด้าน Digital Transformation, AddVentures บ่มไอเดีย "you innovate, we scale" ด้วยการลงทุนไปทั้งหมด 16 สตาร์ทอัพ และ 5 กองทุน (VC Fund) โดยแค่ในปี 2563 นี้ AddVentures ทุ่มเงินลงทุนเพิ่มลงใน Portfolio ไปกับ 4 สตาร์ทอัพ และ 1 กองทุน (VC fund)
นอกจากด้านการลงทุน ในปี 2563 ยังเป็นอีกปีที่ AddVentures ได้มุ่งเน้นในการปั้นโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆให้กับ SCGและบริษัทในเครือ เพื่อตอบรับกับการขยายของตลาดในอนาคต ล่าสุดร่วมกับ Validus แพลตฟอร์มสินเชื่อ SME ที่เดิมมีการดำเนินงานในสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ร่วมมองหาโอกาสในการขยายตลาดสู่ประเทศอื่นๆเพิ่มเติม
Open Innovation ขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจ
ฟันเฟืองที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งของการทำ Digital Transformation คือ "Ignitor’ โปรแกรมที่ช่วยสร้างสรรค์นวัตกรรมภายใน เป้าประสงค์หลักคือการนำเอาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยพร้อมใช้งานได้จริง มาปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสในการทำรายได้สำหรับกว่า 300 บริษัทภายใต้เครือ SCG
กิจกรรมของโปรแกรมครอบคลุมตั้งแต่การคัดเลือก "pain point" ของแต่ละธุรกิจในเครือ ค้นหาและสร้างความสัมพันธ์กับ tech startup ทั่วโลก ตลอดจนช่วยเหลือในการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้กับเคสจริง ทั้งในช่วงของการทดลองและขยายผล อาทิเช่น การใช้เทคโนโลยี Business Process Automation (BPA) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของหน่วยงานใน SCG ซึ่งที่ผ่านมาสามารถลดเวลาในการทำงานได้จริงกว่า 70% โดยเวลาที่ได้กลับมา สามารถนำไปพัฒนาการให้บริการกับลูกค้า หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือ การนำเทคโนโลยี Omni-channel enablement มาเสริมสร้างประสบการณ์ของลูกค้า (Customer experience) เพื่อให้ลูกค้าสามารถเยี่ยมชมและซื้อสินค้าของ SCG ได้ทั้ง online และ offline ได้อย่างต่อเนื่อง ( Seamless )
ในปี 2563 หน่วยธุรกิจต่างๆ ได้ส่ง pain point เข้ามาที่ Ignitor โปรแกรม ถึง 55 โครงการ โดย 32 โครงการ ถูกพัฒนาให้เป็น Proof-of-Concept (กรรมวิธีทดสอบการแก้ไขปัญหาในระดับทดลอง) และขยายผลไปยังธุรกิจอื่นๆ ขององค์กร โดยคาดการณ์ว่าการนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานดังกล่าวจะสามารถช่วยสร้างผลกำไรเพิ่มเติมได้ถึง 1,000 ล้านบาทในอีก 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า
เผชิญกับ New Normal
นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีแล้ว วิกฤติ COVID-19 ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เร่งให้เกิด Business Transformation ทั้ง B2B และ B2C ทำให้ SCG ต้องให้ความสำคัญกับ 4 ประเด็นสำคัญที่จะช่วยในการรับมือกับวิกฤติดังกล่าว
1. ธุรกิจรูปแบบใหม่ (New business models) - SCG มองหาบริษัทที่มีแนวทางการทำธุรกิจเน้นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเข้าไปสนับสนุนเงินทุน จับมือเป็นคู่ค้า และขยายผลธุรกิจไปในระดับภูมิภาค อาทิเช่น การร่วมมือกับ Janio แพลตฟอร์ม cross-border e-commerce ที่ SCG ได้มีส่วนร่วมขยายธุรกิจให้ครอบคลุมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
2. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (New product development) - แทนที่จะพึ่งพาการพัฒนาจากภายในเพียงอย่างเดียว SCG เปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพที่มีไอเดียน่าสนใจ เข้ามาเสนอไอเดียเพื่อร่วมพัฒนาไอเดียให้ใช้ได้จริง เนื่องจากการมีบทบาททางธุรกิจที่ครอบคลุม ทำให้ SCG สามารถทดสอบตลาด และคอยอำนวยความสะดวกทางการค้าในแต่ละพื้นที่ผ่านการจดสิทธิบัตรทางเทคโนโลยี ให้กับสตาร์ทอัพต่างๆ รวมถึงการขยายตลาดมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
3. พฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป (A shift of customer behaviors) - ความวิตกกังวลกับวิกฤติ COVID-19 ทำให้ลูกค้าเลือกซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์มากกว่าการไปหน้าร้าน จึงเป็นหน้าที่ของระบบปฏิบัติงานอัตโนมัติ ต่างๆ ที่ SCG ได้นำมาใช้งานในทุกช่องทางที่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้าในขณะเดียวกันบริษัทยังสามารถเก็บข้อมูลเชิงลึกผ่านการปฏิสัมพันธ์ของลูกค้า Bot เพื่อพัฒนาการบริการให้ดียิ่งขึ้น
4. Business Process Automation (BPA) - หน่วยธุรกิจหลายหน่วยใช้ระบบ BPA เพื่อช่วยจัดการระบบการทำงานที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นระบบดังกล่าวช่วยให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างราบรื่น ลดเวลาการทำงานลงถึง 50-70% ลดต้นทุน และความผิดพลาดส่วนบุคคลและเพิ่มคุณภาพการบริการไปพร้อมๆ กันทำให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถจัดเก็บเพื่อไปทำสื่อที่ช่วยทำความเข้าใจเชิงลึกที่แม่นยำและช่วยพัฒนาระบบต่อไปในอนาคต
เดินหน้าสร้าง Open Innovation Space
‘สำหรับปี 2564 SCG ยังคงมุ่งมั่นกับการสร้างธุรกิจใหม่ๆ และการเป็นองค์กรเทคโนโลยีขั้นสูง ด้วยการใช้ข้อได้เปรียบจากการทำ Open Innovation’ ดร.จาซชัว แพส กรรมการผู้อำนวยการAddVentures ได้เน้นย้ำถึงภารกิจขององค์กร ก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายว่า ‘ประตูของเราเปิดต้อนรับสตาร์ทอัพจากทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็น B2B อุตสาหกรรม หรือองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถเข้ามาเป็นทั้งหุ้นส่วนทางการค้าผ่านทางโปรแกรม Ignitor หรือเป็นโอกาสในการลงทุนให้กับ AddVentures ในอนาคต’