OR ขายหุ้น IPO ราคา 16-18 บาท/หุ้น เน้นให้คนไทยร่วมเติบโตเป็นแบรนด์ระดับโลก
26 Jan 2021

 

การประกาศขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของบริษัท  ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR (โออาร์) โดยเปิดโอกาสให้คนไทยได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ไทยที่จะก้าวไปเป็นแบรนด์ระดับโลก ด้วยช่วงราคาเสนอขาย 16  – 18 บาทต่อหุ้น สัดส่วนไม่เกิน 22.5% ของพอร์ต โดยผู้จองซื้อรายย่อยสามารถจองซื้อได้ที่ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงไทยที่สำนักงานใหญ่และทุกสาขาทั่วประเทศและผ่านช่องทางออนไลน์ ระหว่างวันที่ 24 มกราคมถึง เวลา 12:00 น. (เที่ยง) ของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 ทั้งนี้ ล็อตการจำหน่ายหุ้นจะเป็นแบบล็อตเล็ก (Small Lot First) จำนวน 300 หุ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับการกระจายหุ้นอย่างทั่วถึง

สำหรับผู้ถือหุ้น ปตท. เฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับจัดสรรหุ้นสามารถจองซื้อได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในวันที่ 25-28 มกราคม 2564 โดยคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “OR” ประมาณต้นกุมภาพันธ์ 2564

 

 สัดส่วนการขายหุ้น  

จำนวนหุ้นที่โออาร์ ประกาศขายครั้งนี้แบ่งเป็น

  1. หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 2,610 ล้านหุ้น (Base Offering) หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 22.5% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่ออกและจำหน่ายได้แล้วของบริษัทฯ เพื่อเสนอขายให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก ซึ่งรวมถึงหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของปตท.เฉพาะกลุ่มที่ได้รับการคัดสรรหุ้น อีกจำนวนไม่เกิน 300 ล้านหุ้น
  2. หากมีผู้จองซื้อหุ้นมากกว่าหุ้นทั้งหมดที่เสนอขายดังกล่าว บริษัทฯ อาจจัดสรรหุ้นส่วนเกินให้แก่ผู้ลงทุนหุ้นส่วนเกินจำนวนไม่เกิน 390 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 14.9%ของจำนวนหุ้นที่ขายใน Base Offering

            ทั้งนี้ ภายหลังที่มีการเสนอขายหุ้นสามัญ (IPO) ครั้งนี้ สัดส่วนการถือหุ้นของ ปตท. ภายหลังจะคิดเป็นสัดส่วนเท่ากับ75% (ในกรณีที่มีการใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นส่วนเกินเต็มจำนวน)

 

 

         ปัจจัยพื้นฐานแน่น

จากการแจกแจงของ จิราพร ขาวสวัสดิ์ รักษาการแทนประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ โออาร์ ถึงโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของโออาร์ที่มีสัดส่วนใหญ่ถึง 93.8% จากกลุ่ม Oil (ธุรกิจน้ำมัน) 68.7% และกลุ่ม Non-Oil (ธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่น ๆ) 25.1% ขณะที่มีธุรกิจในต่างประเทศเป็นสัดส่วน 5.8% และอื่นๆ 0.4% ด้วยเครือข่ายและพอร์ตโฟลิโอของแบรนด์ธุรกิจค้าปลีกในมือของโออาร์ที่มีความแข็งแกร่ง

 

           

 "โออาร์มีกำไรสุทธิ 5,869 ล้านบาท EBITDA (กำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย, ภาษี, ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย) 12,523 ล้านบาท" จิราพรกล่าวต่อไปถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของธุรกิจโออาร์ว่า ประกอบด้วย

1) การปักหลักครองแชร์การจัดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในไทยเป็นอันดับ 1 อย่างต่อเนื่องถึง 23 ปี และในปี 2562 ก็มีส่วนแบ่งการตลาดถึง 38.9% (เมื่อพิจารณาจากปริมาณการขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของสถานีบริการในปี 2562 โดย Wood Mackenzie) โดยเป็นแชร์สูงกว่าเบอร์ 2 ถึง 2 เท่าตัว

2) การเป็นผู้นำในส่วนของตลาดพาณิชย์ในทุกผลิตภัณฑ์ ซึ่งเหตุผลที่ทำให้โออาร์สามารถครองใจผู้บริโภคและลูกค้ากลุ่มตลาดค้าปลีกและตลาดพลังงานได้ เนื่องจากโออาร์สามารถเข้าถึงแหล่งพลังงาน

3) ความพร้อมของโออาร์ที่สามารถส่งมอบน้ำมันและเชื้อเพลิงให้กับลูกค้าทั้งภายในและภายนอกประเทศ เนื่องจากโออาร์มีน้ำมันและแอลพีจีในพื้นที่สำคัญๆ ของประเทศไทยถึง 53 คลัง      

4) การเป็นผู้นำที่นำเอาธุรกิจค้าปลีกที่เข้ามาขายในสถานีบริการน้ำมันก่อนเป็นรายแรกของโออาร์และทำให้ธุรกิจในปีนี้มีความแข็งแกร่ง อาทิ คาเฟ่อเมซอน ซึ่งปัจจุบันแบรนด์นี้ได้รุกออกไปดำเนินธุรกิจนอกสถานีบริการน้ำมัน โดยมีอัตราการเติบโตถึง 46%และมีการดำเนินธุรกิจภายใต้แบรนด์นี้อีก 10 ประเทศ

5) การขยายกิจการไปยังต่างประเทศและจัดตั้งบริษัทย่อยบริษัทแรกที่กัมพูชา และอัตราการเติบโตของธุรกิจในกัมพูชา ลาว ฟิลิปปินส์ก็มีอย่างต่อเนื่อง

 6) ในฐานะที่โออาร์ เป็นบริษัท Flagship ของ กลุ่ม ปตท.ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย (ทุนจดทะเบียน 28,562,996,250.00 บาท)

7) ผู้บริหารที่มากประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญทั้ง 'ธุรกิจน้ำมัน -ธุรกิจค้าปลีก - ธุรกิจต่างประเทศ' และมุ่งทำงานแบบ One Team โดยมีลูกค้าเป็นตัวตั้ง (Customer Centric)

 

6 กลยุทธ์การเติบโต

ราชสุดา รังสิยากูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลยุทธ์องค์กร นวัตกรรมและความยั่งยืน โออาร์ กล่าวถึงการขับเคลื่อนธุรกิจด้วย 6 กลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและขยายธุรกิจว่า ประกอบด้วย

1) รักษาความเป็นผู้นำของธุรกิจน้ำมันทั้งตลาดค้าปลีกและตลาดพาณิชย์ในประเทศไทย

2)มุ่งสร้างฐานรายได้ใหม่และเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่นๆ (Non-Oil) เนื่องจากมีอัตราผลตอบแทนสูงกว่าการจำหน่ายน้ำมันมาก โดยจะคัดเลือกทั้งแบรนด์โออาร์และพันธมิตร พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มเพื่อให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคในแต่ละทำเลได้อย่างโดนใจ  พร้อมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มให้มีความหลากหลาย ตลอดจนคัดสรรผู้ค้าที่มีศักยภาพ เพื่อเข้ามาร่วมลงทุน

3) ต่อยอดความสำเร็จ ความชำนาญ ของโออาร์เพื่อการขยายตัวสู่ระดับภูมิภาค และระดับโลก ทั้งนี้ PTT Station ยังจะร่วมลงทุนและผนึกกำลังกับผู้ประกอบการท้องถิ่นที่มีความเข้าใจกับตลาดในท้องถิ่นและทำให้โออาร์สามารถขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งจะขยายธ6รกิจคาเฟ่อเมซอนในประเทศ CLMV ตะวันออกกลางและเอเชียตันออกทั้งในและนอกสถานีบริการน้ำมัน

4) เสริมสร้างศักยภาพ ขยายโอกาสการเติบโตด้วยเทคโนโลยี และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Big Data Analytics) ไม่ว่าจะเป็น Mobility Ecosystem โดยโออาร์มีแผนที่จะขยายจุดชาร์จรถ EV ใน PTT Stationให้ครอบคลุมเส้นทางหลักทั่วประเทศ ควบคู่กับการมีแอปพลิเคชั่น เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภค, Lifestyle Ecosystem โออาร์ได้ จัดตั้ง บริษัทร่วมทุน พีเบอร์รี่ ซึ่งประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมกาแฟอย่างครบวงจรในประเทศไทย

(อนุมัติการลงทุนจากมติที่ประชุมบอร์ด โออาร์ ครั้งที่ 8/2563 วันที่26 สิงหาคม ให้บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด (Modulus) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของโออาร์ โดยผ่าน บริษัท พีทีทีโออาร์ โฮลดิงส์ จำกัด (OR Holdings) เข้าลงทุนในสัดส่วน 65% ของ พีเบอร์รี คิดเป็นเงินลงทุนทั้งสิ้น 171.99 ล้านบาท)

5) ขยายขอบข่ายการลงทุนให้ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อทำให้เกิดการประหยัดจากขนาด (Economy of Scale) ซึ่งจะทำให้บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเทคโนโลยี นอกจากนี้ ก็มีการลงทุนโรงงานผลิตเบเกอรี่ โรงงานผงผสมเครื่องดื่ม ศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติทั้งกับธุรกิจคาเฟ่อเมซอนและ PTT Lubricants รวมทั้งใช้ Big Data Analytics เพื่อให้ดีไซน์ทูแวลู IBMS ติดตามรถแบบเรียลไทม์

6) มุ่งสร้างคุณค่าและมูลค่าร่วม การมีส่วนร่วมต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มทั้งประเทศชาติ สังคมชุมชน ผู้ถือหุ้น ลูกค้า คู่ค้า และพนักงานอย่างสมดุล ในราคาที่เป็นธรรม สร้างผลตอบแทนกับผู้ลงทุน พัฒนาพนักงานเพื่อความเป็นมืออาชีพ ตามหลัก ESG

 

 

ผลประกอบการสวย

พิจินต์ อภิวันทนาพร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารการเงิน โออาร์ กล่าวถึงผลการดำเนินงานของกลุ่มโออาร์ว่า โออาร์ มีกระแสเงินสดที่มั่นคงจากกลุ่มธุรกิจน้ำมัน และมุ่งมั่นที่จะสร้างรายได้เพิ่มจากกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่นๆ (Non-Oil) ที่มีความหลากหลาย ซึ่งมีการเติบโตและอัตรากำไรอยู่ในระดับสูง

 

 

 

วัตถุประสงค์ของการระดมทุน

  • ขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน
  • ขยายเครือข่ายร้านค้าปลีก
  • ขยายธุรกิจสำหรับการตลาดพาณิชย์
  • ลงทุนในคลังเก็บผลิตภัณฑ์และศูนย์กระจายสินค้าธุรกิจน้ำมัน
  • ลงทุนในธุรกิจต่างประเทศ
  • เงินทุนหมุนเวียนและ/หรือชำระคืนเงินกู้ยืม (ถ้ามี)

 

พิจินต์กล่าวต่อไปว่า “วัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้  มี บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และบริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิหลังหักสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายและบริษัทฯ กำหนดไว้ในแต่ละปี”

[อ่าน 1,805]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดิอาจิโอ เปิดตัว "น้าสติ" คาแรกเตอร์สุดปัง! พร้อมปลุกกระแส "ดื่มสนุก มีสติ"
กลุ่มบริษัทเอไอเอ ประกาศผลประกอบการ Q3/2567 ด้วยมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น 16%
TOA คว้า 3 รางวัลใหญ่ ‘สุดยอดซีอีโอแห่งปี’
ฉลองครบรอบ 30 ปี “เฮเฟเล่ ประเทศไทย” จัดใหญ่มหกรรมลดราคาแห่งปี
สหพัฒนพิบูล ส่งผลิตภัณฑ์มาม่าร่วมเติมพลังนักวิ่ง "วิ่งผ่าเมือง ครั้งที่ 7"
“ICS BEAUTY AND THE LISTS” มหกรรมความงามแห่งปี ยกทัพบิวตี้ไอเท็มยอดฮิต ลดสูงสุดกว่า 70%
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved