บมจ.สิงห์ เอสเตท (S) บริษัทผู้พัฒนา และลงทุนอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ประกาศเดินหน้าขยายฐานธุรกิจ เสริมแกร่งให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ของบริษัทฯ โดย เตรียมรุกเข้าสู่ ธุรกิจพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า ธุรกิจให้บริการด้านวิศวกรรม และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ
ยุทธศาสตร์แห่งการผนึกกำลัง
จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บมจ. สิงห์ เอสเตท เปิดเผยถึงยุทธศาสตร์ปี 2564 ว่า
“ปีนี้ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญที่ สิงห์ เอสเตท จะเข้าสู่การพัฒนาธุรกิจในเฟสต่อไปโดยเราจะเดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่จะมาต่อยอดและเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อนำสิงห์ เอสเตท ก้าวไปสู่การเป็นหนึ่งในธุรกิจแถวหน้าของประเทศไทย ด้วยการผนึกกำลัง (Synergy) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า และธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง ที่จะส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด และสร้างผลตอบแทนที่ดี”
เนื่องจากที่ผ่านมา ยุทธศาสตร์ของบริษัทมุ่งเดินทางจากจุดเริ่มต้นในฐานะ 'บริษัทของครอบครัว' ที่บริหารจัดการสินทรัพย์ และดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลมาสู่การเป็น 'บริษัทมหาชน' มีการบริหารงานอย่างมืออาชีพมีสินทรัพย์อยู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลายกระจายอยู่ในหลายภูมิภาค จุตินันท์คลี่แผนยุทธศาสตร์ต่อว่า
"สำหรับการดำเนินธุรกิจในอนาคต เรายังคงมีความเชื่อมั่นกับอนาคตของประเทศไทย ซึ่งเป็นฐานที่มั่นทางธุรกิจของสิงห์ เอสเตท ขณะเดียวกันเราก็ยังเดินหน้ามองหาโอกาสที่จะสร้างการเติบโตใหม่ๆในระดับโลกไปพร้อมกันด้วย”
ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท
มุ่งเติบโตแบบก้าวกระโดด
ยุทธศาสตร์ของ สิงห์ เอสเตท ที่มุ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดนั้น ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า
“สิงห์ เอสเตท มุ่งผนึกกำลังธุรกิจโรงแรม ธุรกิจที่พักอาศัย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม เข้ากับธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า และธุรกิจให้บริการด้านนวัตกรรมที่เกี่ยวเนื่องต่างๆ จะสร้างความได้เปรียบเชิงธุรกิจให้กับสิงห์ เอสเตท ได้อย่างมหาศาล และเพิ่มความสามารถในการคว้าโอกาสทางธุรกิจใหญ่ๆ ที่กำลังจะมีเข้ามา ทั้งนี้ สิงห์ เอสเตท ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ขึ้น 3 เท่าตัวให้กลายเป็นประมาณ 2 หมื่นล้านบาทต่อปี ภายในระยะเวลา 3 ปี พร้อมกับสร้างธุรกิจให้มีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้น จาก 6.5 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 ไปเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสินทรัพย์ 8 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 และขณะเดียวกันก็ตั้งเป้าเพิ่มอัตราผลกำไรในการทำธุรกิจด้วย"
อย่างไรก็ตาม แม้ สิงห์ เอสเตทจะต้องเผชิญกับสภาวะวิกฤติโควิด-19 เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นนั้น ฐิติมา กล่าวว่า
"ด้วยวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นสิ่งยืนยันการตัดสินใจที่ถูกต้องของบริษัทฯในการวางโครงสร้างธุรกิจเป็น 4 กลุ่มธุรกิจที่เชื่อมโยงกัน เพื่อที่จะทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยากจะคาดเดาทั้งในประเทศและทั่วโลก”
Singha Complex
4 กลุ่มธุรกิจผนึกกำลัง
ทั้งนี้ '4 กลุ่มธุรกิจที่เชื่อมโยงกัน' ที่ ฐิติมากล่าวถึงนั้น ประกอบด้วย
ฐิติมา กล่าวต่อไปถึงการผนึกกำลัง (Synergy) ของ 4 กลุ่มธุรกิจว่า จะทำให้ สิงห์ เอสเตท สร้างความโดดเด่นที่ความแตกต่าง (Differentiate) พร้อมทั้งสามารถเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องได้ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นจากการเติมเต็มซึ่งกันและกันของกลุ่มธุรกิจต่างๆ
ทั้งจากการใช้ทรัพยากรร่วมกันรวมทั้งการบูรณาการธุรกิจ ที่สำคัญ 4 กลุ่มธุรกิจนี้ จะสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจในเครือให้มีความมั่นคงมากขึ้น เนื่องจาก 1) วงจรทางธุรกิจที่แตกต่างกัน 2) มีรูปแบบความเสี่ยงไม่เหมือนกัน และ 3) เพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ประจำและสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ สิงห์ เอสเตท ยังมีเป้าหมายที่จะแสวงหาความร่วมมือทั้งภายในประเทศและระดับโลก เพื่อสร้างความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้น เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง และความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งช่วยขยายฐานธุรกิจในต่างประเทศให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ สิงห์ เอสเตท กำลังศึกษาแนวคิด และวิธีใหม่ๆระดับโลก เพื่อใช้บริหารจัดการธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตของบริษัทฯ และเพื่อเพิ่มศักยภาพของธุรกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้เป็นอย่างดีในทุกสถานการณ์ (Resilient Business)”
The ESSE Sukhumvit 36
ทั้งนี้ ฐิติมาเปิดเผยถึงความแข็งแกร่งทางด้านการเงินเพิ่มเติมด้วยว่า
"สิงห์ เอสเตท มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของเราในสัดส่ววนที่ต่ำโดยอยู่ที่ 0.96 เท่า ประกอบกับการมีเครดิตดี สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อีก 2.5 หมื่นล้านบาท ทำให้เวลานี้ถือเป็นเวลาที่เหมาะสมที่เราจะเดินหน้ากลุ่มธุรกิจที่ 4”
Hard Rock Hotel Maldives
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และสัดส่วนรายได้ของ สิงห์ เอสเตท ประกอบด้วย