หลังจากเปิดเสรีประชาคมอาเซียน ประเทศไทยถือว่ามีข้อได้เปรียบในด้านอุตสาหกรรมขนส่งซึ่งมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของการขนส่ง บนพื้นที่ที่ประกอบด้วยประชากรกว่า 600 ล้านคน แต่นั่นก็มาพร้อมกับความท้าทายใหม่ๆ ที่ผู้ประกอบการต้องเจอ ทั้งผู้ประกอบการรายใหม่และการแข่งขันที่สูงขึ้นในปัจจุบัน
เพื่อเป็นการตอบโจทย์กับการทำธุรกิจ เชลล์ ริมูล่า จึงทำการพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องที่ดีที่สุด เพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการขนส่ง ด้วยการเปิดตัว เชลล์ ริมูล่า R6 LM สูตรใหม่ น้ำมันเครื่องกลุ่มสังเคราะห์แท้เกรดพรีเมียม ที่ช่วยป้องกันการสึกหรอได้สูงสุด 53% ช่วยลดการสูญเสียน้ำมันเครื่องระหว่างใช้งานสูงสุดถึง 45% และสามารถใช้งานได้ดีในทุกสภาพอากาศรวมถึงอากาศร้อนจัดในประเทศไทย ซึ่งผลการสำรวจจากผู้ประกอบการขนส่งทั่วโลกจำนวน 49 ราย ระหว่างปี 2551-2558 พบว่า เชลล์ ริมูล่า R6 LM ช่วยให้ธุรกิจของลูกค้าเหล่านี้ประหยัดรายจ่ายได้มากกว่า 120 ล้านบาท
ทรอย แช็ปแมน กรรมการบริหาร ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น ภูมิภาคเอเชียตะวันออก ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เชลล์ แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ริมูล่า ความ จิงมีหลายเกรด ซึ่ง R6 นี้คือตัวท็อป หลักการขายของตัวนี้คือ แม้ว่าราคาจะสูงกว่าตัวอื่นก็จริง แต่ให้ประสิทธิภาพมากกว่า ถ้าลูกค้ายอมจ่ายแพงขึ้น เพื่อให้ได้สินค้าที่ดีขึ้น และตอบโจทย์การทำงานโดยเฉพาะลูกค้าที่ใช้งานหนัก มันคุ้มกว่า สิ่งที่ลูกค้าได้กลับมาอาจจะเป็นสิ่งที่มูลค่าสูงกว่าราคาน้ำมันเครื่องที่จ่ายไป มันเหมาะกับคนที่ใช้งานหนักจริงๆ ใช้รถตลอดเวลา และมั่นใจว่าเครื่องจะไม่มีปัญหาระหว่างทาง”
สำหรับเชลล์ ริมูล่า มีแนวคิดในการสร้างแบรนด์ให้มีความใกล้ชิด เข้าใจวิถีชีวิตของคนขับรถบรรทุกทั่วโลก ดังนั้น เชลล์ จึงตระหนักดีว่า ประสิทธิภาพที่ดีของน้ำมันเครื่อง ไม่ได้มีผลต่อสมรรถนะของเครื่องยนต์เท่านั้น แต่ยังทำให้ลูกค้าทุกคนก้าวไปสู่ความสำเร็จทางธุรกิจได้ง่ายขึ้น เพราะน้ำมันเครื่องถือเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจโดยเฉพาะภาคขนส่ง ซึ่งเชลล์ ได้ลงทุนในด้านการตลาดเพิ่มขึ้นทุกปี โดยมีสัดสวนสูงกว่าปริมาณส่วนแบ่งการตลาดที่ได้รับ เพราะต้องการมั่นใจว่าผู้บริโภครู้จักและเข้าใจในแบรนด์จริงๆ
“ปกติแล้วธุรกิจของเชลล์ทั้งหมดโต 5-10% ทุกปี โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์ที่ออกมาในปีนี้จะดันให้การเติบโตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ เชลล์ ริมูล่า R6 LM ซึ่งมีฐานลูกค้าที่ใช้น้อยอยู่เนื่องจากเป็นสินค้าในกลุ่มพรีเมียม เพราะฉะนั้นเราจึงมุ่งขยายฐานลูกค้าในกลุ่มนี้ ให้ลูกค้าอยากใช้น้ำมันเครื่องที่ดีที่สุด สำหรับธุรกิจใหญ่ ปีนี้เราจึงเน้นในการทำการตลาดตัวนี้เป็นพิเศษ”
ปัจจุบัน ตลาดน้ำมันเครื่องของประเทศไทยโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 650 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งในตลาดแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ Consumer (ผู้บริโภคทั่วไป) Commercial (เชิงพาณิชย์) และ Industry (ใช้ในโรงงาน) โดยมีสัดส่วนกลุ่มละประมาณ 30 กว่าเปอร์เซ็นเท่าๆ กัน ซึ่งในกลุ่มน้ำมันเครื่องที่ใช้ขนส่งเชิงพาณิชย์แบ่งออกเป็น 3 เกรด ได้แก่ น้ำมันเครื่องธรรมดาที่ผลิตจากน้ำมันแร่ 80% น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ 15% และน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (พรีเมียม) 5% ของตลาดรวม โดยเชลล์มองว่าตลาดพรีเมียมยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก
“นอกจากมาร์เกตแชร์ที่เป็นตัววัดคุณภาพของเรา อีกตัวหนึ่งก็คือ เราวัดฟิตแบคจากลูกค้า ว่ามีความพึงพอใจกับเชลล์มากน้อยแค่ไหน หรือสินค้าของเราตอบโจทย์ได้ดีแค่ไหน นี่เป็นตัววัดดัชนีที่ไม่ใช่ตัวเลขแต่เป็นความพึงพอใจของลูกค้ามากกว่า” แช็ปแมน กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ เชลล์ ยังนำเสนอ เชลล์ ริมูล่า R4 X ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุด พร้อมปรับโฉมด้วยการออกแพ็คเกจผลิตภัณฑ์ทุกรุ่นใหม่อีกด้วย
แม้ว่าในปัจจุบัน เชลล์ ริมูล่า จะยังคงเป็นเบอร์ 2 ของตลาดน้ำมันเครื่องในประเทศไทย ซึ่งมีส่วนแบ่งอยู่ที่ 15-18% ของตลาดรวมทั้งหมด โดยเบอร์ 1 ได้แก่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง ปตท. มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 22% แต่สำหรับตลาดน้ำมันเครื่องระดับโลกแล้วนั้น เชลล์ยังคงครองอันดับ 1 เป็นเวลากว่า 9 ปีติดต่อกัน