บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (ซีอาร์จี) หนึ่งในผู้นำธุรกิจร้านอาหารเครือข่าย (Food Chain Industry) ของประเทศไทยที่มีความชำนาญ และประสบการณ์อันยาวนานมากกว่า 40 ปี โดยมีแบรนด์ธุรกิจร้านอาหารที่หลากหลาย ครอบคลุมเกือบทุกประเภทอาหาร พร้อมจับมือร่วมทุนกับ “ส้มตำนัว” เข้าถือหุ้นในบริษัท เอสทีเอ็น เรสเตอรองต์ จำกัด เดินหน้าพัฒนาความสามารถในการแข่งขันในตลาด ด้วยเล็งเห็นศักยภาพและโอกาสในการต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงร่วมกัน
ณัฐ วงศ์พานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ซีอาร์จี กล่าวว่า บริษัทเดินหน้าด้วยกลยุทธ์รุกขยายแบรนด์ใหม่และร้านอาหารแนวใหม่ โดยปีนี้ ซีอาร์จี จะมีแบรนด์ร้านอาหารใหม่เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2-3 แบรนด์ เพื่อเติมเต็มพอร์ตโฟลิโอให้มีประเภทอาหารครอบคลุมในทุกเซ็กเมนต์ ขยายฐานลูกค้าให้กว้างมากขึ้น เพิ่มโอกาสเข้าถึงผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม อีกทั้งยังถือเป็นการเพิ่มความหลากหลาย และเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคอีกด้วย
ด้วยธุรกิจร้านอาหารส้มตำยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งแบรนด์ “ส้มตำนัว” นับเป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพในการขยายได้อีกมาก และมีกลุ่มลูกค้าที่เหนียวแน่น ด้วยอาหารอีสานจัดเป็นอีกหนึ่งประเภทอาหารยอดนิยม จึงเล็งผลักดันบุกตลาดให้เติบโตด้วยความมั่นคง แข็งแรง และยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของส้มตำนัวไว้เช่นเดิม สำหรับแผนธุรกิจเตรียมซัพพอร์ตช่วยต่อยอดธุรกิจในทุกๆด้าน เร่งจัดเตรียมความพร้อมให้สามารถลุยตลาดเดลิเวอรี่ได้แบบเต็มพิกัด การพัฒนาต่อยอดเมนูเด็ด การเพิ่มช่องทางจำหน่าย จัดแผนขยายสาขา ทั้งในศูนย์การค้า, ร้านสแตนอะโลน, คลาวด์คิทเช่น โดยตั้งเป้าเปิดกว่า 130 สาขาภายใน 5 ปี รวมไปถึงการวางแผนเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับโมเดลแฟรนไชส์ โดยมั่นใจว่าแบรนด์ส้มตำนัวจะเป็นอีกแบรนด์เรือธงให้กับ ซีอาร์จี ได้อย่างแน่นอน
สุธาชล วัฒนะสิมากร กล่าวเสริมว่า ย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อนแบรนด์ส้มตำนัวเป็นแบรนด์ที่เกิดจาก ความตั้งใจที่สืบทอดวัฒนธรรมการกินของคนอีสานรสชาติตามแบบฉบับดั้งเดิม ในบรรยากาศสบายๆ สะอาดสะอ้าน ให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกเหมือนนั่งกินอาหารอยู่บ้าน เพื่อให้ลูกค้าผ่อนคลายมีความสุขกับการกินอาหารอย่างเต็มที่ และส่งมอบอาหารอีสานรสชาติแท้ๆ ด้วยวัตถุดิบคุณภาพที่คัดเลือกมาอย่างพิถีพิถัน มีซิกเนเจอร์เมนูมากมายให้เลือกลิ้มลอง การจับมือกันในครั้งนี้แบรนด์มองเห็นโอกาสจากการร่วมมือกับ ซีอาร์จี ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำทางด้านธุรกิจอาหารระดับประเทศที่มีประสบการณ์อันยาวนาน น่าจะเป็นโอกาสที่จะช่วยให้เราเติบโตอย่างมั่นคง และร่วมพัฒนาระบบในด้านการบริหารงานต่างๆให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือ การรักษามาตรฐานและความพึงพอใจของลูกค้าไว้ให้ได้ดังเดิม