ถือเป็นปกติ สำหรับ Kotler ในการเสนอ ‘บทใหม่ของแนวคิดการตลาดกระแสโลก’ ว่าธุรกิจจะต้องดำเนินการตลาดไปอย่างไร สำหรับปีนี้คือตำราเล่มใหม่ ‘การตลาด 5.0’
เรารู้จัก การตลาดตามที่ Kotler บอกตั้งแต่ 1.0 (ผลิตภัณฑ์เป็นศูนย์กลาง) 2.0 (ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง) 3.0 (คนเป็นศูนย์กลาง) 4.0 (เคลื่อนย้ายจากแบบดั้งเดิมไปสู่ดิจิทัล) 5.0 (เทคโนโลยีสำหรับมนุษยชาติ) ถือว่าการตลาดพัฒนาจากการเน้นผลิตภัณฑ์ มาสู่แนวคิดคนเป็นศูนย์กลาง ใช้เวลาเกือบ 70 ปี เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนทุกสิ่งและสูงมากจนเป็น ‘Technology Disruption’
การตลาดได้เดินมาถึงความท้าทายใน 3 อย่าง คือ
Hermawan Kartajaya เรารู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่ บริษัท ต่างๆ จะต้องปลดปล่อยพลังอย่างเต็มที่ของเทคโนโลยีขั้นสูงในกลยุทธ์ทางการตลาดและการดำเนินงานของตน หนังสือเล่มนี้ได้รับแรงบันดาลใจบางส่วนจาก Society 5.0 ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มระดับสูงของญี่ปุ่น มีแผนงานในการสร้างสังคมอย่างยั่งยืนด้วยการสนับสนุนจากเทคโนโลยีอัจฉริยะ เทคโนโลยีนั้นสามารถและต้องใช้เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ
Kotler บอกว่า เป็นการผสมผสานระหว่าง Marketing 3.0 (คนเป็นศูนย์กลาง) และ Marketing 4.0 (เทคโนโลยีดิจิทัล) และถ้าให้นิยาม หมายถึง แอปพลิเคชันของเทคโนโลยีที่เลียนแบบมนุษย์ เพื่อสร้าง สื่อสาร ส่งมอบ และส่งเสริมคุณค่าตลอดเส้นการเดินทางของลูกค้า (Customer Journey)
หนึ่งในธีมสำคัญของ การตลาด 5.0 คือ Kotler เรียกว่า ‘The Next Tech’ ซึ่งเป็นกลุ่มของเทคโนโลยีในการมุ่งเลียนแบบสมรรถภาพของนักการตลาด-ที่เป็นมนุษย์ (Human Marketers) เช่น AI NLP(Natural Language Processing) เทคเซ็นเซอร์ หุ่นยนต์ AR (Augmented Reality) VR (Virtual Reality) IOT และบล็อกเชน (Blockchain) การรวมเทคโนโลยีทั้งหมดนี้ให้สนับสนุนการตลาด 5.0
แม้ว่าเราจะให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีในเชิงลึก แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องทราบว่าคน-มนุษยชาติ ก็ยังคงเป็นจุดสนใจหลักของการตลาด 5.0 เทคโนโลยีถัดไปถูกนำไปใช้เพื่อช่วยนักการตลาดในการสร้างสื่อสาร ส่งมอบและเพิ่มมูลค่าตลอดเส้นการเดินทางของลูกค้าโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ของลูกค้า (CX) อย่างไม่สะดุดและน่าสนใจ ในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว บริษัท ต่างๆ ต้องใช้ประโยชน์จาก การพึ่งพาอาศัยกัน (Symbiosis) ที่สมดุลระหว่างความฉลาดของมนุษย์และคอมพิวเตอร์
*อ้างจาก Kotler, P., Kartajaya, H. & Setiawan, I. (2021). Marketing 5.0 p.9
1). สำหรับผู้เริ่มต้นเทคโนโลยีช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้นโดยอาศัยข้อมูลขนาดใหญ่ ผลิตภัณฑ์ด้านที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการทำให้เป็นดิจิทัลคือข้อมูลขนาดใหญ่ ในบริบทดิจิทัลช่องทางติดต่อลูกค้าทุกรายไม่ว่าจะเป็นธุรกรรม การสอบถาม คอลเซ็นเตอร์และการแลกเปลี่ยนอีเมลจะถูกบันทึกไว้ ยิ่งไปกว่านั้นลูกค้าทิ้งรอยทุกครั้งที่ท่องอินเทอร์เน็ตและโพสต์บางสิ่งบนโซเชียลมีเดีย นอกเหนือ จากความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นภูเขาของข้อมูลเชิงลึกที่จะดึงออกมา ด้วยแหล่งข้อมูลมากมายดังกล่าว นักการตลาดสามารถทำรายละเอียดของลูกค้าในระดับย่อยๆ และระดับบุคคล ทำให้สามารถทำการตลาดแบบตัวต่อตัวได้
2). เราสามารถทำนายผลลัพธ์ของกลยุทธ์และกลวิธีทางการตลาดได้ ด้วยการวิเคราะห์ของ AI และคาดการณ์ผลลัพธ์ก่อนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่หรือออกแคมเปญใหม่ เพราะแบบจำลองจะค้นหารูปแบบทางการตลาดก่อนหน้านี้ ทำความเข้าใจว่าอะไรจะได้ผลและจากการเรียนรู้นั้น ก็แนะนำการออกแบบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแคมเปญในอนาคต และไม่เป็นอันตรายต่อแบรนด์จากความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้นได้
3). เทคโนโลยีนำประสบการณ์ดิจิทัลตามบริบทมาสู่โลกทางกายภาพ การติดตามผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ช่วยให้นักการตลาดดิจิทัลสามารถมอบประสบการณ์ที่มีบริบทสูง เช่น หน้า Landing Page ที่ปรับเปลี่ยนในแบบของท่านเอง โฆษณาที่เกี่ยวข้องและเนื้อหาที่กำหนดเองช่วยให้บริษัทดิจิทัลท้องถิ่นมีข้อได้เปรียบที่สำคัญเหนือคู่ค้าแบบดั้งเดิม ปัจจุบันอุปกรณ์และเซ็นเซอร์ที่เชื่อมต่อ - Internet of Things ช่วยให้ธุรกิจนำจุดสัมผัสตามบริบทมาสู่พื้นที่ทางกายภาพ ปรับระดับพื้นที่พร้อมอำนวยความสะดวกในการใช้งาน Omnichannel อย่างราบรื่น เซ็นเซอร์ช่วยให้นักการตลาดระบุได้ว่าใครมาที่ร้านและให้การดูแลเฉพาะบุคคล
4). การส่งมอบมูลค่า นักการตลาดสามารถมุ่งเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันเองกับเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างเหมาะสมที่สุด AI พร้อมกับ NLP ช่วยปรับประสิทธิผลของการปฏิบัติงานในการเผชิญหน้ากับลูกค้า Chatbots จัดการการสนทนาที่เรียบง่ายและด้วยปริมาณที่มากพร้อมกับการตอบกลับทันที AR และ VR ช่วยให้บริษัทต่างๆ ส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจโดยมีมนุษย์เข้ามามีส่วนร่วมน้อยที่สุด ดังนั้น นักการตลาดระดับแนวหน้าสามารถให้ความสำคัญกับการนำเสนอปฏิสัมพันธ์ทางสังคมซึ่งเป็นที่ต้องการสูงกับลูกค้า
4). ความเร็ว เทคโนโลยีได้เร่งการดำเนินการทางการตลาดต่อความชอบของลูกค้าตลอดเวลา มีการเปลี่ยนแปลงโดยตลอดจึงกดดันให้ธุรกิจต้องทำกำไรจากโอกาสที่สั้นลงในการรับมือกับความท้าทายดังกล่าว บริษัทต่างๆ สามารถดึงแรงบันดาลใจจากแนวทางปฏิบัติที่คล่องตัวของสตาร์ทอัพแบบลีนมาใช้ สตาร์ทอัพเหล่านี้ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอย่างมากเพื่อทำการทดลองตลาดอย่างรวดเร็วและการตรวจสอบความถูกต้องแบบเรียลไทม์ แทนที่จะสร้างผลิตภัณฑ์หรือแคมเปญตั้งแต่ต้นน้ำ ธุรกิจสามารถสร้างบนแพลตฟอร์มโอเพนซอร์ส และใช้ประโยชน์ร่วมกันเพื่อเร่งการออกสู่ตลาด อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้ไม่เพียงแต่ต้องการการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทัศนคติและความคิดที่คล่องตัวอย่างเหมาะสมด้วย
โดยสรุปแล้ว การตลาด 5.0 เริ่มด้วยการจับคู่เส้นการเดินทางของลูกค้า และวิเคราะห์ว่า...ที่ไหน เทคโนโลยีการตลาด (Martech) สามารถเพิ่มมูลค่า และปรับปรุงผลการดำเนินงานของนักการตลาด (มนุษย์) การตลาด 5.0
มีองค์ประกอบสำคัญ 5 อย่างได้แก่ การตลาดขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data Driven Marketing) การตลาดว่องไว (Agile Marketing) การตลาดเชิงทำนาย (Predictive Marketing) การตลาดเชิงบริบท (Contextual Marketing) และการตลาดร่วมเทคโนโลยี ( Augmented Marketing)
สำหรับบริษัทที่ประยุกต์ใช้ การตลาด 5.0 ต้องมีการขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven) จากการเดินทาง (The Get-go) ของลูกค้า การสร้างระบบนิเวศข้อมูลเป็นสิ่งที่ต้องมีมาก่อน สำหรับปฏิบัติการทางการตลาด 5.0 ที่จะเอาชนะใจคนทั้ง 5 เจนนั้น จำเป็นต้องใช้วิธีการที่แตกต่างกันออกไป และองค์กรหรือแบรนด์เองก็ต้องมีการปรับตัวด้วย จึงจะทำให้ประสบความสำเร็จได้สูงสุด
บทความคอลัมน์ Beyond Market Trap เขียน โดย ดร.ดนัย เทียนพุฒ
MarketPlus Magazine Issue 133