StashAway (สแทช-อเวย์) บริษัทสตาร์ทอัพ Wealth Tech จากสิงคโปร์คว้าเงินระดมทุนกว่า 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ ประมาณ 780 ล้านบาท ในรอบ Series D นำโดย Sequoia Capital India (ซีคัวญ่า แคปปิตอล อินเดีย) ซึ่งเป็นกองทุน Venture Capital ชั้นนำในเอเชีย โดยกลุ่ม Sequoia มีประสบการณ์กว่า 48 ปีและได้ร่วมลงทุนตั้งแต่ช่วงต้นของบริษัทชื่อดังอย่าง Airbnb, Alibaba, Apple, Dropbox, Google, LinkedIn และ Stripe โดยในปี 2564 นี้ StashAway เตรียมรุกตลาดไทย หวังเอาใจนักลงทุนด้วย Global Portfolio ที่บริหารด้วยเทคโนโลยีการลงทุนระดับโลกและลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายผ่าน ETF โดยเตรียมเปิดตัวแอปพลิเคชันในไทย พร้อมระบบอัลกอริทึม ERAA™(Economic Regime-based Asset Allocation) ที่วิเคราะห์ข้อมูลทางเศรษฐกิจโดยไม่ใช้อารมณ์เพื่อบริหารพอร์ตให้มีประสิทธิภาพและสร้างผลตอบแทนที่ดีตามระดับความเสี่ยงที่ลูกค้ากำหนดไม่ว่าสภาวะเศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
การระดมทุนในรอบ Series D นี้ นำโดย Sequoia Capital India ซึ่งเป็นกองทุน Venture Capital ชั้นนำในเอเชีย พร้อมทั้งยังได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากกองทุน Venture Capital ระดับโลกที่เคยร่วมลงทุนมาแล้วก่อนหน้านี้ ประกอบไปด้วย Eight Roads Ventures ที่สนับสนุนโดยบริษัท Fidelity International และยังเป็นผู้ลงทุนรายแรกๆ ใน Alibaba รวมถึง Square Peg ซึ่งเป็นกองทุน Venture Capital ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย โดยการระดมทุนอยู่ในขั้นตอนการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องและคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า หลังจากการระดมทุนรอบนี้จะทำให้ StashAway มีทุนชำระแล้ว (Paid-Up Capital) รวม 61.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,918 ล้านบาท) ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถเร่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใน 5 ตลาด และบริษัทจะเปิดทางเลือกให้พนักงานขาย Stock Option คืนให้กับบริษัทเป็นมูลค่า 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 94 ล้านบาท) อีกทั้งขยายทีมพัฒนาเทคโนโลยีทั้งในประเทศสิงคโปร์และต่างประเทศ
Michele Ferrario (มิเกเล เฟอร์ราริโอ้) ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มบริษัท StashAway กล่าวว่า “การที่เราได้รับความไว้วางใจจากกองทุน Venture Capital ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นข้อพิสูจน์ว่าเราได้ตัดสินใจอย่างถูกต้องทั้งในเรื่องการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วไปยังตลาดที่มีโอกาสเติบโตสูงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงการสร้างทีมงานที่มีศักยภาพสูงและมีความเชื่อมั่นในภารกิจของบริษัท สิ่งเหล่านี้ทำให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจ”
Abheek Anand (อาพีค อานันด์) กรรมการผู้จัดการของ Sequoia India ซึ่งจะเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริษัทของกลุ่มบริษัท StashAway หลังจากการระดมทุนรอบนี้ได้รับการอนุมัติ โดยมีประสบการณ์มากกว่า 20 ปีในธุรกิจด้านเทคโนโลยี การเงิน และ Deep Tech ทั้งในสหรัฐอเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย ได้กล่าวว่า “StashAway กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะสามารถเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายไปในโลกของธุรกิจเทคโนโลยีบริหารจัดการการลงทุน (Digital Wealth Management) ที่คู่แข่งยังไม่สามารถทำได้ดี เช่น แพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด และกลยุทธ์การลงทุนที่มีความละเอียดและซับซ้อน นอกจากนี้ StashAway สามารถสร้างความไว้วางใจให้กับกลุ่มลูกค้าได้ด้วยการช่วยให้พอร์ตการลงทุนของลูกค้าสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาด และสร้างผลตอบแทนที่ดีไปพร้อมๆ กัน”
Nino Ulsamer (นีโน่ อัลซาเมอร์) ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของกลุ่มบริษัท StashAway ยังได้กล่าวเสริมในประเด็นเรื่องการเปิดทางเลือกให้พนักงานขาย Stock Option คืนให้กับบริษัทไว้ว่า “โครงการซื้อ Stock Option คืนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กับพนักงาน ด้วยมูลค่ามากถึง 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 94 ล้านบาท) จะช่วยให้เราสามารถดึงดูดกลุ่มคนที่มีความสามารถสูงมาร่วมงานกับบริษัทของเราได้ เพราะสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าสตาร์ทอัพสามารถประสบความสำเร็จและสามารถสร้างรายได้ที่ดีให้กับพนักงาน เราต้องการให้ทุกคนในทีมได้รับผลประโยชน์จากการร่วมสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ และคำสัญญาที่เรามีให้กับทีมงานทุกคนคือการให้ Compensation Package ที่ดีเสมอมา โดยรวมถึงการให้ Stock Options ที่มูลค่าจะเติบโตไปพร้อมกับบริษัท ซึ่งคำสัญญานี้เริ่มเห็นผลที่ชัดเจนมากขึ้นแล้ว”
ยศกร นิรันดร์วิชย กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า
“เราเล็งเห็นว่าความต้องการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจาก คนไทยต้องการกระจายการลงทุนไม่ให้สินทรัพย์กระจุกตัวอยู่เฉพาะในประเทศ และต้องการเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนจากอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจที่หลากหลาย ซึ่งปัจจุบันช่องทางในการลงทุนต่างประเทศมีจำกัด อีกทั้งยังมีค่าธรรมเนียมสูง เราเลยอยากเป็นตัวช่วยให้นักลงทุนไทยก้าวข้ามขีดจำกัดต่างๆ เหล่านี้ ขณะนี้เราได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และอยู่ระหว่างขออนุญาตเริ่มประกอบธุรกิจจากสำนักงาน ก.ล.ต.โดยเรามีแผนจะเปิดตัวแอปพลิเคชั่นในไตรมาสที่ 2-3 ของปีนี้
ซึ่งเราตั้งใจนำกลยุทธ์การลงทุนที่มีความละเอียดซับซ้อนของเรามาผสมผสานกับเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้คนไทยได้มีการวางแผนการเงินและการลงทุนที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคนอย่างแท้จริง เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้ได้สำเร็จ”