ความสำเร็จของ 'โฆษณา' ที่นำมาซึ่ง 'ยอดขาย' นั่นคือ การวัดผลความสำเร็จที่แท้จริงของคนทำงานโฆษณา
สำหรับยีนส์ Mott & Bow แบรนด์น้องใหม่ของธุรกิจสตาร์ทอัพในตลาดอเมริกาที่แจ้งเกิดในตลาดได้ด้วยการ สร้างความแตกต่างก็มี 'โฆษณา' เป็น 'ลมใต้ปีก' ให้ 'ติดลมบน' ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนหนึ่งของความสำเร็จดังกล่าว มาจากมันสมอง และความสามารถของ 'นีตา รัชไชยบุญ' หรือ 'หยก' Creative Strategist สาวไทยที่ได้รับโอกาสดีๆ กับการทำงานกับ Mott & Bow ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา หลังเธอเรียนจบปริญญาโทที่ Pratt Institute ทางด้าน Design Management ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
"ปัญหาการทำงานก็มีบ้าง เพราะเราไม่ได้เติบโตมาจากที่นี่
อาจมีปัญหาเรื่องภาษาสแลงบ้าง
แต่โชคดีที่ได้รับโอกาสดีๆ เช่นนี้เข้ามาในชีวิต แล้วหยกมีความเชื่อว่า
ถ้าเราทำดีที่สุด คนก็จะเห็นเอง อีกอย่างถ้าทำอะไรจะทำเต็มที่ 100% เสมอ"
_________
Creative Strategist
สิบเดือนของการทำงานในฐานะ Creative Strategist เธอรับผิดชอบเกี่ยวกับการออกแบบสื่อออนไลน์ต่างๆ ทั้งบนเว็บไซต์ และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย อย่าง Facebook, Instagram และแพลตฟอร์มยอดฮิตอย่าง TikTok
"เนื่องจาก Mott & Bow เป็นสตาร์ทอัพมีคนไม่มากถือเป็นโอกาสดีที่ทำให้เราได้มีโอกาสทำงานด้วยตนเองทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน คิดธีมงาน จนถึงการลงมือทำเอง ถ่ายภาพเอง ตัดต่อวิดีโอเอง แต่ที่รู้สึกชอบคือ การนำเสนองานด้วยวิดีโอ เพราะเป็นภาพเคลื่อนไหว เป็นงานไม่น่าเบื่อ แล้วก็มีความท้าทายในตัวเองด้วย เนื่องจากมีการบ้านชิ้นใหญ่ที่เราจะต้องทำให้ได้คือ การจุดความสนใจคนที่ดูคลิปให้ได้ในสองวินาทีแรก ซึ่งหยกเลือกใช้การจุดประเด็นด้วยคำถาม"
ทั้งนี้ นีตาเปิดประเด็นถึงชีวิตการทำงานในต่างแดนที่เธอทุ่มเทความพยายามแบบเกินร้อย และมีเพื่อนร่วมงานอีกคน ซึ่งทั้งสองต่างก็มีสไตล์การทำงานที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอแนวคิด การเลือกใช้ แต่ที่สุด ทั้งสองก็สามารถหาจุดกึ่งกลางและความลงตัวในการทำงานได้
"การทำงานกับชาวต่างชาติมีข้อดีตรงที่ทีมงานจะให้ความสำคัญกับทุกความเห็น ไม่มีข้อจำกัดเรื่องอาวุโส ที่ว่า ใครแก่กว่า-ใครเด็กกว่า หรือใครมีอายุการทำงานมากกว่า-น้อยกว่า ที่นี่ถึงแม้จะพึ่งเข้าทำงานได้ไม่นาน แต่ก็ยังได้รับความสำคัญให้นำเสนอความคิดเห็นในที่ประชุมได้อย่างเท่าเทียม นี่จึงทำให้เราทำงานที่นี่อย่างมีความสุข และทุ่มเทได้ โดยเฉพาะเมื่อได้รับโอกาสดีๆ จากเจ้านาย” นีตา กล่าว
"การทำงานกับฝรั่ง ทุกความเห็นมีความหมายหมด สำหรับการทำงาน
ไม่มีปัญหาใครอายุมากกว่า น้อยกว่า หรือใครมาทำงานก่อน ใครเพิ่งมาทำงาน"
----------------
Disrupt Market Strategy
ยุทธศาสตร์ของ Mott & Bow ที่นีตา 'ขยี้' ให้เห็นการขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จว่า มาจากการเป็นแบรนด์ที่เดินหน้าด้วย Disrupt Market Strategy
"การจะประสบความสำเร็จในตลาดได้ แบรนด์จะต้อง Disrupt ตลาดได้อย่าง Uber, AirBnB นั่นคือการทำตลาดแบบที่แบรนด์อื่นๆ ไม่เคยทำมาก่อน และเป็นสินค้าหรือบริการที่สามารถล้มล้างระบบเก่าๆ หรือของเก่าๆ ที่เคยทำกันมานาน
สำหรับกรณีของ Mott & Bow นั้นวางตำแหน่งของตนเอง ด้วยการเป็น 'Premium Jeans, Fair Price' นั่นคือ การผลิตพรีเมียมยีนส์ได้ในราคาที่ถูกกว่า Branded Jeans ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอย่างดีแล้วถึงครึ่งต่อครึ่ง โดยราคายีนส์ Mott & Bow จะอยู่ระหว่าง 96-130 เหรียญสหรัฐ (2,880 - 3,900 บาท) ซึ่งถือว่าถูกมากสำหรับที่นี่ เพราะราคาพรีเมียมยีนส์ที่นี่จะอยู่ระหว่าง 200-300 เหรียญสหรัฐ (6,000 - 9,000 บาท) เนื่องจาก Mott & Bow มีโรงงานผลิตเป็นของตนเองอยู่ที่ประเทศฮอนดูรัส ซึ่งเป็นแหล่งผลิตคอตตอนที่ดีที่สุดในโลก และการขายผ่านอี-คอมเมิร์ซก็ทำให้แบรนด์ไม่ต้องขายผ่านพ่อค้าคนกลาง ขณะที่ Branded Jeans ทำไม่ได้ เนื่องจากมีต้นทุนสูงกว่า และส่วนหนึ่งยังขายผ่านสโตร์อยู่
ที่สำคัญ ยีนส์ผู้ชายองแบรนด์นี้จะมีเทคโนโลยีที่เรียกว่า Dynamic Strecth ที่ทำให้การใส่ยีนส์สบายตัว ไม่ตึงจนเกินไป ไม่เหมือนยีนส์ของผู้ชายทั่วๆ ไปที่จะไม่มีความยืดหยุ่น ใส่แล้วไม่สบายตัว
นอกจากนี้ Disrupt Market Strategy ที่สำคัญของ Mott & Bow คือโปรแกรม Try-on ที่สามารถนำไปลองที่บ้านได้ อันเป็นแรงบันดาลใจที่เจ้าของแบรนด์ได้จากแว่นแบรนด์ Warby Parker โดยลูกค้าที่สั่งสินค้า บริษัทฯ จะจัดส่งยีนส์ไปให้ลองใส่ที่บ้าน แต่จุดเด่นของแบรนด์นี้คือ การที่บริษัทจัดส่งไซส์เผื่อไปให้ลูกค้าอีกหนึ่งไซส์แล้วให้ลูกค้าส่งคืน โดยที่ไม่ต้องเสียค่าส่งกลับคืน แต่มีเงื่อนไขว่าต้องส่งคืนภายใน 90 วัน ซึ่งเป็นการ Disrupt ตลาดยีนส์ออนไลน์ที่ลูกค้าทุกคนจะมีปัญหากับการซื้อยีนส์ที่อาจใส่สะโพกได้ แต่เอวไม่พอดี แล้วไม่มีไซส์เผื่อ ทำให้ส่งกลับไปกลับมา ซึ่งถือเป็น Pain Point ของลูกค้า"
Key Success: ROT
นีตาตีโจทย์ของการสื่อสารผ่านสื่อต่างๆโดยเฉพาะออนไลน์ด้วยรหัส ROT ซึ่งทำให้ไอเดียของเธอมีความเป็นสากล ก้าวข้ามความเป็นเอเชีย และเข้าถึงสังคมอเมริกัน ทำให้ยุทธศาสตร์ออนไลน์ของเธอประสบความสำเร็จ นั่นคือ
"ความแตกต่างของสังคมอเมริกัน คือ เป็นสังคมที่ผุ้คนเปิดกว้าง ไม่ยึดติดกับแบรนด์ ไม่ติดหรู และให้ความสำคัญกับความจริงใจอยู่บนโลกแห่งเป็นจริงหรือ REAL มากกว่า ดังนั้นการที่จะซื้อใจคนอเมริกันได้ แบรนด์จะต้องแสดงความจริงใจให้เห็นว่าเป็น Authentic Brand
ที่สำคัญในการทำโฆษณา เราเลือกใช้ Micro Influencer ซึ่งเป็นคนธรรมดาๆ ที่ได้ใช้สินค้าจริงๆ (Testimonial) มาโฆษณา เนื่องจากการเลือกใช้ดารา หรือนายแบบนางแบบมาถ่ายแบบ หรือเพื่อโฆษณานั้น คนจะเข้าใจได้ว่า แค่เป็นการจ้างมาถ่ายแบบ ต่างกับ Micro Influencer ที่มีการใช้จริงๆ และจากการวิเคราะห์ของบริษัทฯ ก็พบว่า Micro Influencer สามารถดึง Traffic ให้เข้ามาที่เว็บไซต์ของบริษัทได้มาก จนเป็นที่ประหลาดใจ ทั้งนี้ ในการเลือก Micro Influencer จะเลือกคนที่ Follow ไม่เยอะ แต่มีคนกดไลค์เยอะ แสดงว่า Engagement เยอะ ...มีคนสนใจคนๆ นี้อยู่จริงๆ”
"หยกจะสมมติตัวเองเป็นลูกค้า โดยการมองเข้ามาที่แบรนด์ว่า หากเป็นลูกค้าเราจะสนใจอะไร อยากรู้อะไร เพราะปกติพฤติกรรมคนอ่านหรือดูคอนเทนต์บนออนไลน์ก็จะดูหรือเลื่อนไปเรื่อยๆ แต่จะทำอย่างไรให้ผู้คนหยุดดูหรืออ่านได้ แล้วจะทำอย่างไรให้ผู้คนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเก่าหรือลูกค้าใหม่กลับเข้ามาดูในเว็บไซต์เราได้อีก ดังนั้นเราจะต้องสร้างความสนใจของคนที่เข้ามาให้ได้ก่อนภายใน 2 วินาที จากนั้นเราจึงจะสื่อสารถึงสิ่งที่เราต้องการบอก ไม่ว่าจะเป็น Value หรือการสื่อว่า สินค้าช่วยลูกค้าแก้ปัญหาได้อย่างไร ซึ่งนี่คือสิ่งที่กลยุทธ์ที่ใช้แล้วได้ผล"
แล้วนี่คือคำถามที่เธอเลือก 'เปิดประเด็น' เพื่อ 'เปิดใจ' ผู้คนเมื่อเห็นคอนเทนต์ของ Mott & Bow บนสื่อออนไลน์ในช่วง 2 วินาทีแรก
• Sick of finding a pair of jeans that never fit your waist?
เบื่อมั้ยที่หายีนส์พอดีเอวไม่เคยเจอ?
• Finding a perfect pair of jeans is a nightmare?
การจะหากางเกงยีนส์ที่เพอร์เฟกต์มันคือฝันร้ายใช่มั้ย?
• Tired of buying jeans that cost an arm and a leg?
เบื่อกับการซื้อยีนส์ที่ราคาขูดเลือดขูดเนื้อมั้ย?
"จากความแรงของโลกออนไลน์ และโซเชียลมีเดียแล้ว TikTok ถือเป็นแพลตฟอร์มที่เข้าถึงผู้คนได้รวดเร็ว ตอบโจทย์ได้ภายใน 15 วินาทีและเรามี Testimonial (ผู้ใช้จริงที่เป็น Micro Influencer) ที่ส่งผลงานบน TikTok ให้เรานับร้อยคน ทั้งนี้ TikTok จะตอบโจทย์ในแง่ของการบอกคุณสมบัติ และข้อความที่เราต้องการสื่อได้อย่างไม่น่าเบื่อ ภายในระยะเวลาอันสั้นเพียง15 วินาที" นีตากล่าว